วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

168. ข่าว...วาระบูชาครู...เรียนวิชา เมฆจิต

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ.2554  
พระเบื้องบนเมตตาสงเคราะห์ วิชา เมฆจิต(ทิพยจักขุญาณ) ห้กับผู้ที่ศรัทธา  และต้องการศึกษาวิชานี้ เพื่อช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติธรรมฯลฯ และช่วยสงเคราะห์ผู้อื่น เช่น ภัยพิบัติฯลฯ

เป็นวิชาตามคำสอนของหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) เป็นวิธีฝึกทิพย์จักขุญาณ แบบลัด เพื่อพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่อง นรก สวรรค์ พรหม ฯลฯมีจริง เห็นได้จริง นอกจากนี้ยังสามารถเห็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน ของสถานที่หรือบุคคลว่าเป็นอย่างไร รู้อดีตชาติของคนและสัตว์ว่าเกิดเป็นอะไรมาก่อน รู้วาระจิตของคนและสัตว์ว่าขณะนั้นเป็นอย่างไร คล้ายตาทิพย์

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ.2554 เวลา 14.49 น.
  พระเบื้องบนให้สงเคราะห์ 
สถานที่ประกอบพิธี...ชมรมพุทธเมตตา หมู่บ้านเมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ด  นนทบุรี

ประกอบพิธีอัญเชิญพระเบื้องบนเมตตาสงเคราะห์  บูชาครู(พระเบื้องบน)  สิ่งที่จะต้องใช้ในการบูชาต่อหนึ่งท่าน

การบูชาครูบาอาจารย์เพื่อขอเรียนวิชา เมฆจิต หรือ ทิพยจักษุ
1.    ธูป 7 ดอก
2.    เทียนหนัก 1 บาท 7 เล่ม
3.    ดอกไม้ 7 กระธง (ดอกไม้ประเภทเดียวกันทั้งหมด)
4.    ข้าวตอก 7 กระธง
5.    น้ำใส่ขันน้ำมนต์ 1 ขัน หรือ น้ำดื่นบริสุทธุ์ 1 ขวด


ครูบาอาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ "วิชาใดที่ไปลักจำ ลักเรียนเขามา ถึงได้มาจะได้ผลไม่สมบูรณ์" ศิษย์มีครูจึงจำเป็นต้องมีพิธีไหว้ครูเพื่อขอเรียนวิชาอย่างถูกต้อง


แผนที่ตั้ง 
ชมรมพุทธเมตตา 
เมืองทองธานีโครงการ 2 ซอย 8  
หมู่บ้านเมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ
พีกัด GPS  
N13°55'7.79"
E100°32'14.08"
เลี้ยวเข้าซอย 6 วิ่งสุดซอยชนบึง เลี้ยวขวาไป 2 ซอย  รถจอดริมบึง  เดินเข้าซอย 8 หลังที่ 3 ขวามือ เลขที่ 29/202


บทความวันที่ 29 ธันวาคม 2554

เล่าสู่กันฟัง
ประมาณเวลา 13:00 น. ญาติธรรมมาพบเดินทางออกจากบ้าน  ในระหว่างทางสัมผัสได้ว่าพระเบื้องบน...สอบถาม...สรุปพระเบื้องบน...องค์ที่ 2 มาสงเคราะห์คุม...

ประมาณเวลา 14:00 น.  มาถึงสถานที่นัดที่ใช้ประกอบพิธีบูชาครู...สัมผัสได้ว่ามีพระเบื้องบน...มามากและมีท่านทั้งหลายมารอโมทนาบุญกันแน่นเป็นระยะทางไกล

มีญาติธรรมมาถึงก่อนหน้าเกือบ 10 ท่าน  เมื่อได้เวลาสอบถามตำแหน่งตั้งโต๊ะบูชา...มีความแปลกเกิดขึ้นคือ...เงียบ  จึงได้กำหนดจิตพิจารณา  มีท่านทั้งหลายมารอโมทนาบุญ  จึงได้อุทิศส่วนกุศลไปให้กับท่านทั้งหลาย  ครั้งที่ 1  ยังไม่หมด  แสดงว่ามีอยู่ด้านนอกในระยะทางที่ไกลออกไป  จึงได้กำหนดจิตอุทิศส่วนกุศลใหม่อีกครั้งหนึ่งในคุมรัศมีไกลออกไปมากกว่าเดิม  สัมผัสได้ว่าพลังเริ่มเบาบางลงไปมาก  จึงได้สอบถามตำแหน่งตั้งโต๊ะบูชาใหม่อีกครั้งหนึ่งได้รับความเมตตาสงเคราะห์ประทานคำชี้แนะถึงตำแหน่งและทิศทางการจัด

14:49 น. มีญาติธรรมร่วม 20 กว่าคน  เริ่มทำพิธีบูชาครูบาอาจารย์  ด้วยการกล่าวอัญเชิญพระเบื้องบน...และบวงสรวง...ตามวิธีการต่างๆที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์และพระเบื้องบนชีแนะ  (ในขั้นตอนนี้พระเบื้องบนจะมาสองรอบ)  
     รอบแรก
     1. พระเบื้องบน...เสด็จมามากกว่า หนึ่งแสนองค์
     2. พระเบื้องบน...เสด็จมามากกว่า ห้าแสนองค์
     3. พระเบื้องบน...เสด็จมามากกว่า หนึ่งล้านองค์
     4. ฯลฯ.
     รอบสอง
         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม เสด็จมาโปรดเป็นประธานในพิธี

เวลาต่อมาได้ร่วมกันบูชาพ่อแม่ครูบาอาจารย์พร้อมน้อมถวาย ธูป เทียน ดอกไม้ ข้าวตอก เป็นพุทธบูชา  ธรรมบูชา  สังฆบูชา  และพระเบื้องบน...ได้โมทนา  สาธุ

สิ่งที่พลาดไม่ได้ คือ พระเบื้องบน...ทรงเมตตาสงเคราะห์เสด็จมามาก  จึงได้น้อมถวายปัจจัยพระเบื้องบน...โดยเฉพาะพระเบื้องบน...และชาวโลกทิพย์ที่ออกนิโรจน์สมาบัติใหม่ๆ....และพระเบื้องบน...ได้โมทนา สาธุ  ก่อให้ญาติธรรมทั้งหลายที่ได้มาร่วมพิธีบูชาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้รับอนิสงค์ถ้วนหน้ากัน

ญาติธรรมหลายๆ ท่านต่างสัมผัสรับรู้ถึงพระเบื้องบน...เสด็จมาส่งเคราะห์ มีประสบการที่แตกต่างกันไปตามบุญบารมีที่เคยสร้างไว้ในอดีตชาติ เช่น
--- มองเห็นพระเบื้องบน...แต่งชุดเป็นพระสงฆ์นั่งลอยอยู่ในอากาศเป็นทิวแถว
--- มองเห็นพระเบื้องบน...แต่งชุดแก้วใสลอยอยู่บนท้องฟ้า
--- มองเห็นพระเบื้องบน...สุดลูกหูลูกตา
--- มองเห็นพระเบื้องบน...เป็นประกายแสงเต็มพื้นที่บริเวณพิธีฯ
--- สัมผัสถึงพลังพุทธะของพระเบื้องบนเป็นระยะๆ เช่น การบีบอัดของอากาศที่เปลี่ยนแปลง เมื่อพระเบื้องบนเสร็จมาโปรด
--- มีหลายท่านได้รับการสงเคราะห์การปรับขัน 5 จากพระเบื้องบน
--- มีท่านหนึ่งได้รับการสงเคราะห์จากพระเบื้องบน...ขันสิ่งอัปมงคลออกจากร่างกาย
ฯลฯ

วันนี้หลังจากเสร็จจากพิธีบูชาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ฯ พระเบื้องบน...ได้สงเคราะห์เคราะห์ญาติธรรมหลาก คน หลายเรื่อง เช่น
--- การปฏิบัติธรรมที่ยังย่อนยานของญาติธรรม
--- ความเกี่ยวพัน การเวียนไหว้ ตายเกิด
--- ผลของกรรมที่ก่อไว้ในอดีตชาติ ย่อมเที่ยงเสมอ  ส่งผลไม่ผิดคน  เจ้ากรรมนายเวร  ตามทวงหนี้ชีวิต
--- หลวงปู่โตได้มาสงเคราะห์ สนทนาธรรมกับญาติธรรม 
     *** หลวงปู่ กล่าว " หลวงปู่ เป็นพระอรหันต์ "
     *** หลวงปู่ กล่าว " หลวงปู่ ไม่โง่มาเกิดอีก "
     *** หลวงปู่ กล่าว " หลวงปู่ไม่ใช่พระศรีอริยเมตไตรย ที่จะมาเกิดในอนาคต
     +++สอบถามหลวงปู่โต เรื่องเกี่ยวกับ หลวงปู่ ทวด
     *** หลวงปู่ กล่าว " หลวงปู่ทวด ไม่ใช่พระศรีอริยเมตไตรย ที่จะมาเกิดในอนาคต
--- พระปัจเจพุทธเจ้าได้มาสงเคราะห์ สนทนาธรรมกับญาติธรรม ได้เมตตาสอนสั่งกลุ่มญาติธรรม " มาทำอะไรกัน  ทำไมไม่เร่งปฏิบัติ "


รูปที่ 1 สถานที่ได้รับความอนุเคราะห์ในการประกอบพิธีไหว้ครู...ที่ ชมรมพระพุทธเมตตา



รูปที่ 2 โต๊ะบูชา


รูปที่ 3 ญาติธรรม...


รูปที่ 4 ญาติธรรม... "ช่วยปิดๆหน่อย เดี๋ยวที่บ้านจำได้ว่าโดดงานมาร่วมพิธีฯ"

รูปที่ 5 ญาติธรรม... คนกลาง คุณสันติ...เจ้าบ้านและเป็นเจ้าภาพออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด...ผู้มีเมตตาให้ใช้สถานที่และจัด ธูป เทียน ดอกไม้ ข้าวตอก และน้ำ ให้กับญาติธรรมทุกๆท่านที่ได้แจ้งเข้ามาล่วงหน้า รวมทั้งน้ำดื่มและอาหารว่าง  ขอโทนาบุญ ทุกประการ สาธุ---

รูปที่ 6 ญาติธรรม...

รูปที่ 8 นำ ธูป เทียน ดอกไม้ และข้าวตอก น้อยถวายพระเบื้องบน...ที่เมตตาสงเคราะห์เสด็จมาโปรดญาติธรรมที่มาร่วมพิธี ซึ่งผู้เขียนได้กล่าวมาก่อนหน้านี้ ดัง
   รอบแรก
     1. พระเบื้องบน...เสด็จมามากกว่า หนึ่งแสนองค์
     2. พระเบื้องบน...เสด็จมามากกว่า ห้าแสนองค์
     3. พระเบื้องบน...เสด็จมามากกว่า หนึ่งล้านองค์
     4. ฯลฯ.
     รอบสอง
         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม เสด็จมาโปรดเป็นประธานในพิธี
 ***ท่่านใด อ่านแล้วไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ท่านใดเข้าร่วมพิธีฯแล้วภูมิธรรมยังด้อย ไม่สามารถสัมผัสกับการเสด็จมาโปรดของพระเบื้องบน... 
"ขอให้ท่านวางเฉย  อย่างพูดในทางไม่ดี ด้วยความคิดของตนเอง"  
เพราะมีคนเกินกว่าครึ่งที่อยู่ในพิธีฯสัมผัสได้  
มีหลายท่านที่ไม่เคยรู้จักกับผู้เขียนมาก่อน  ท่านมาแล้วรับรู้สัมผัสได้ 
และมีญาติธรรมบางท่านเห็นพระเบื้องบน...เมตตามาโปรด...เป็นข้อมูลที่ญาติธรรมได้พูดคุยข้อมูลให้ได้รับทราบ


รูปที่ 9 ญาติธรรม...นำ ธูป เทียน ดอกไม้ และข้าวตอก น้อยถวายพระเบื้องบน...


รูปที่ 10 ญาติธรรม...นำ ธูป เทียน ดอกไม้ และข้าวตอก น้อยถวายพระเบื้องบน...
 

รูปที่ 11 ญาติธรรม...นำ ธูป เทียน ดอกไม้ และข้าวตอก น้อยถวายพระเบื้องบน... 


รูปที่ 12 ญาติธรรม...ล้อมวงสนทนาธรรม...ฉันว่าอย่างนี้นะ......สงสัยจะเป็นชีพจรเต้น...พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าว พวกขี้สงสัย ๆ ไปหมด เจ้าพวกโสดาตะบัน"สงสัย"

รูปที่ 12 รูปนี้ไม่ธรรมดา

--- งานพิธีบูชาครู...พระเบื้องบนเมตตาเสร็จมาทั้งหมด มาโปรดญาติธรรมจำนวน 24 คนที่มาร่วมรวมกันบูชาพ่อแม่ครูบารอาจารย์  มีทั้งผู้ที่สัมผัสได้เกินครึ่ง  ผู้เขียนกล่าวสรุปสั้นๆ เมื่อปฏิบัติถึงแล้วจะรู้ด้วยตนเอง  รูปภาพทั้งหมดมีมากกว่านี้  แต่ผู้เขียนเลือกมาลงจำนวนหนึ่งเท่านั้น  และในรูปแต่ละรูปภาพจะมีพลังพุทธนุภาพของพุทธองค์  ตั้งจิตนิ่งๆครับแล้วมอง จะสัมผัสได้ถึงอาการหนักๆที่ขมับทั้งด้านซ้ายและขวา


วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

167. สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ พ.ศ.2411

เหล็กไหลที่ประสร้างสมัย รัชกาลที่ 4 วาระ พ.ศ. 2407 และ พ.ศ.2408 ที่ผู้เขียนพบและสัมผัส มากกว่า 95% เป็นเหล็กไหลประเภทดูดติดกัน  มีเหล็กไหลน้อยมากที่ไม่ดูดติดดังเช่นแม่เหล็ก

สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ ที่อธิษฐานจิตโดย สมเด็จพุฒจารย์โต วัดระฆัง ในวาระที่ ร.5 ขึ้นครองราชย์ ที่พบเกือบจะ 100% เป็นเม็ดประคำเหล็กไหลประเภทดูดไม่ติดกัน ดัีงรูป

1671001 สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ พ.ศ.2411 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง ไม่มีคุณสมบัติในการดูดติดกันดั่งแม่เหล็ก

1671002 สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ พ.ศ.2411  ความแตกต่างที่ช่างสิบหมู่สร้างเพื่อให้ทราบวาระการสร้าง พ.ศ.2411 ให้สังเกตุในวงกลมสีขาว  และในวงกลมสีเขียว ภู่จะต้องมีสีแดงเป็นพวงเส้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ จำนวนเส้นไม่แน่นอน ซึ่งเป็นการระบุเอกลักษณะหมายถึงเป็นสร้อยประคำที่หลวงปู่โต หรือ สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆังอธิษฐานจิต

ความแรงของพุทธคุณเดิมๆ ไร้ขีดจำกัด  สร้อยประคำลักษณะอย่างนี้ถ้าพบเห็นให้เก็บไว้ก่อน  เพราะของดีและแรงจริง 

ขนาดของเม็ดประคำเหล็กไหลจะมีขนาดเล็กกว่า เม็ดประคำเหล็กไหลไพลดำที่สร้างในวาระ พ.ศ. 2407 และ พ.ศ.2408 เล็กน้อย  เช่นในรูป เป็นสร้อยประคำที่มีขนาดเล็กกว่า 2 1/2 หุน  แต่มีขนาดใหญ่กว่า 2 หุน  ไม่มีคุณสมบัติดูดติดกันดั่งเช่นแม่เหล็ก

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

166. สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ สร้างสมัย ร.6

สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ(สายวัง) ฝีมือช่างสิบหมู่ ที่ผู้เขียนพบมีอยู่ 3 ยุค คือ
   1. สร้างยุคสมัยรัชกาลที่ 4 พ.ศ.2407 และะ พ.ศ.2408  อธิษฐานจิตโดยสมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆัง

   2. สร้างยุคสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ.2411 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆัง(หายากมากๆ พบเพียง 1 เส้น)
   3. สร้างยุคสมัยรัชกาลที่ 6 พ.ศ.2463 (สมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆังไม่ได้อธิษฐานจิต)

      ***ข้อแตกต่างสร้อยประคำเหล็กไหลสมัย ร.4 กับ ร.6
     - สมัย ร. 4 ปูโตฯ อธิษฐานจิต  สมัย ร. 6 ปู่โตไม่ได้อธิษฐานจิต
     - สมัย ร. 4 นับลูกประคำได้ 110 ลูก(องค์)  สมัย ร. 6 นับลูกประคำได้ 108 ลูก(องค์)
     - สมัย ร. 4 ลูกประคำเหล็กไหลฯมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย เม็ดประคำฯที่สร้าง  สมัย ร. 6
     - สมัย ร. 4 สร้อยประคำเหล็กไหลฯมีขนาดยาวกว่า สร้อยประคำฯที่สร้าง  สมัย ร. 6 มากพอสมควร

คลิก...ลิงก์ เหล็กไหลไพลดำ...1
คลิก...ลิงก์ เหล็กไหลไพลดำ...2 


 1661001 รูปสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ ที่สร้างสมัย ร.6 พ.ศ. 2463  สมเด็จโต(วัดระฆัง) ไม่ได้อธิษฐานจิต  สังเกตุภู่ที่ปลายจะมีเส้น 2 เส้น  ด้ายรูปแบบนี้เป็นข้อบ่งชี้ของผู้สร้าง  ระบุวาระการสร้างที่แตกต่าง  ซึ่งจะมีความแตกต่างกับสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่สร้างในสมัย ร.4 


1661002 รูปสร้อยประคำที่ตัดเชื่อกร้อยออกจะพบเห็นเชือกร้อยด้านในเป็นสีน้ำเงินดำเข้ม

สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำนี้สร้างในสมัย ร.6  มีพลังพุทธานุภาพแรง  แต่ยังด้อยกว่าสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำนี้สร้างในสมัย ร.4 และอธิษฐานโดยสมเด็จโต  ซึ่งในครั้งแรกผู้เขียนไม่ได้แนะนำให้เก็บ  เพราะสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโตมีมากพอสมควร และเด่นกว่ามากในเรื่องพลังพุทธคุณฯลฯ

ภายหลักสร้อยประคำฯที่สร้างสมัย ร.6 ที่ผู้เขียนไม่ได้แนะนำให้เก็บ  แต่มีผู้รู้และไม่รู้ต่างเก็บออกไปจากตลาดจนหมด  คนเหล่านี้ส่วนใหญ่คิดว่าเป็นสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่สร้างสมัย ปู่โตฯ เพราะจับพลังแล้วแรง

เมื่อมีคนเก็บกันมากจนแทบจะหาในตลาดไม่ได้  ผู้เขียนจึงขอกล่าวข้อมูลลึกๆให้ทราบว่า  สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำลักษณะอย่างนี้  หากกล่าวว่า
         "เป็นสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ  ที่อธิษฐานจิตโดยปู่โต ย่อมเป็นของปลอม"
         "ถ้าบอกว่าเป็นสร้อยประคำเหล็กไหลไพดำ  ที่สร้างสมัย ร.6 เป็นของแท้แน่นอน"




วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

165. พระสมเด็จ เนื้อผงใบราน

พระสมเด็จ เนื้อผงใบราน สายวัง ที่อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง ที่พบมีจำนวนการสร้างน้อยมากในแต่ละวาระที่สร้าง

     พระสมเด็จ สายวัง  มีพุทธคุณสุดยอดหรือกล่าวได้ว่าแรงมาก  ความแรงจะมีหลายระดับ  อยู่ที่ผู้ครอบครองจะทราบหรือไม่  มีความแรงระดับมาตราฐาน 1 เท่า, 5 เท่า, 10 เท่า, 30 เท่า, 60 เท่า, 150 เท่า, 250 เท่า และความแรงของพุทธคุณไร้ขีดจำกัด
     พระสมเด็จฯทั่วๆไปที่มีราคาแพงที่อยู่ในมือคนมีอันจะกิน  เกือบทั้งหมดที่ตลาดเล่นหากันจะมีความแรงของพุทธคุณอยู่ที่ ไม่เกิน 10 เท่า(พระเก้ก็มีเยอะเช่นกัน ที่อยู่ในมือท่านมีอันจะกินทั้งหลายเหล่านี้)

1651021 พระสมเด็จ สายวัง เนื้อผสมผงใบราน พ.ศ.2401 มีพลังนุภาพไร้ขีดจำกัด มีสีเทาดำ  สีอ่อนแก่อยู่ที่ช่างสิบหมู่ผสมผงพุทธคุณต่างๆ 

1651022 พระสมเด็จ สายวัง เนื้อผสมผงใบราน พ.ศ.2402 มีพลังนุภาพไร้ขีดจำกัด มีสีเทาดำ  สีอ่อนแก่อยู่ที่ช่างสิบหมู่ผสมผงพุทธคุณต่างๆ 

1651023 พระสมเด็จ สายวัง เนื้อผสมผงใบราน พ.ศ.2409 มีพลังนุภาพไร้ขีดจำกัด มีสีเทาดำ  สีอ่อนแก่อยู่ที่ช่างสิบหมู่ผสมผงพุทธคุณต่างๆ   องค์นี้ด้านหลังจะมีผงทองคำ

คนส่วนใหญ่จะเสาะหาพระสมเด็จ วัดระฆัง ที่อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง
1651024 พระสมเด็จ วัดระฆัง ที่เสี้ยนตำราเขียนตำราให้เซียนตำราปฏิบัติตาม  ความลับที่เซียนตำรารุ่นลายครามแนะนำ  ให้ดูเส้น "วาสนา" ซึ่งเป็นเส้นกรอบ(ใกล้ๆแขนองค์พระ)ทางด้านขวามือของท่าน กรอบสี่เหลี่ยมด้านนอกที่ตัดจะอยู่ประมาณข้อศอกขององค์พระ  ดูด้วยตาเปล่าถ้าใช่ "เซียนตำรา" เขาจึงจะหยิบขึ้นมาส่องกล้องกัน ดังเช่น รูปพระกริ่งองค์นี้



วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

164. เหล็กไหลเงินยวง หรือ เหล็กไหลชีปะขาว


ผู้เขียนได้รับมอบเหล็กไหลชีปะขาวชิ้นหนึ่งเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา  จากพระภิกษุฯ รูปหนึ่งขอสงวนนาม  เหล็กไหลชิ้นนี้เป็นเหล็กไหลที่ตัดมาจากทางภาคเหนือของประเทศลาวเมื่อ พ.ศ.2549 โดยฆราวาสธรรมกลุ่มหนึ่งที่มีคาถาอาคมแก่กล้า ทำพิธีกรรมในการขอฯ และ ตัดมาจำนวนหนึ่ง

จึงได้ขออนุญาตพญาเหล็กไหลฯ รวมทั้งเทพเทวาฯผู้ดูแลเหล็กไหลฯ มีวัตถุประสงค์เปิดเผยให้ผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเหล็กไหล พร้อมทั้งได้นำภาพมาให้ได้ชมดังรูป

1641001 เหล็กไหลเงินยวง หรือ เหล็กไหลชีปะขาว แต่ละรูปเผยให้เห็นถึงการหดตัวของเหล็กไหลฯเมื่อตัดเสร็จ  บริเวณผิวของเหล็กไหลฯยังมีเทียนอาคมติดอยู่บ้างในซอกมุม


 
 

 
  
เหล็กไหลเงินยวง หรือ เหล็กไหลชีปะขาว ( เหล็กไหลน้ำหนึ่ง)
         เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีสูงสุด จะเรียกว่าดีที่สุดก็ว่าได้ เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ป้องกันได้คลอบจักวาร
มักอยู่ตามที่ๆมีอากาศเย็นมาก   พบมากในแถบเนปาล ธิเบต และแถบที่มีหิมะปกคลุมตลอด
เหล็กไหลชนิดนี้ มีสีเงินขาวเป็นยวงคล้ายกับปรอทมีความแวววาวเหมือนโลหะ มีฤษีชั้นพรหมดูแลรักษาอยู่
         เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีสูงสุด
จะเรียกว่าดีที่สุดก็ว่าได้  เหล็กไหลประเภทนี้มีสีขาวเป็นมันเลื่อมคล้ายเกล็ดงู เกจิอาจารย์บางท่านเรียกว่า “พญางูเผือกพวกพระลามะทิเบตชอบมีไว้ประจำตัว เพราะมีมากในถ้ำในภูเขาประเทศทิเบต ส่วนในประเทศเราจะพบเห็นตามถ้ำทางภาคเหนือ และลึกเข้าไปในแคว้นเชียงตุงของพม่า และทางลาวเหนือ เพราะเหล็กไหลชีปะขาวชอบอากาศหนาวจัด มีอานุภาพทางแคล้วคลาดล่องหนหายตัวได้ชั่วคราว ถูกไฟไม่ยืด แต่ถ้าใช้คาถาอาคมยืดได้ มีมายาในตัว งอกขึ้นได้เล็กลงได้ ถ้าจะนำไปสร้างพระเครื่องจะต้องใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุบังคับ หากพลังจิตไม่แก่กล้าพอก็ทำไม่ได้ เหล็กไหลชีปะขาวใช้แทนเพชรได้ในกรณีต้องการตัดกระจก สามารถตัดกระจกให้ขาดได้ เพราะมีความแข็งพอๆ กับเพชร เหล็กไหลชีปะขาวทุบไม่แตก ตัดไม่ขาด
         เหล็กไหลชีปะขาวสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า ผู้ครอบครองจะหมดสิ้นอายุขัย มีเคราะห์ร้ายถึงตาย เมื่อใดเหล็กไหลชีปะขาวจะถือโอกาสล่องหนอันตรธานหายไป ผู้ครอบครองคนใดเมื่อรู้ว่าเหล็กไหลชีปะขาวของตนหายก็อย่าได้ตกใจจนขวัญเสีย มีสติปลงให้ตก ทำบุญสุนทาน แผ่เมตตา ทำสมาธิให้จิตสงบไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อจะต้องตายไปจริง ๆ จิตจะได้สู่สุคติในสัมปรายภพ

ความสามารถ
เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ป้องกันได้คลอบจักวาร มีพลังทางร้อนแรง ทำลายอวิชาต่างๆได้ดี สร้างภาพลวงตา และปรับ อุณหภูมิภายในร่างกายให้กับเจ้าของ ล่องหนหายตัวได้ ใช้ทำน้ำมนต์รักษาโรค ป้องกันคุณผี คุณคน เป็นมหาอุด และเสริมดวง

วิธีตรวจสอบ
ให้คนที่มี ญาณ หรือพระเกจิเก่งๆตรวจสอบ    ของชิ้นนี้มีบารมีสูง

สิ่งที่ชอบ
ไม่ชอบเสพน้ำผึ้ง แต่ชอบแสงจันทร์

การดูติดแม่เหล็ก 
เหล็กไหลเงินยวง หรือ เหล็กไหลชีปะขาว เป็นวัสดุหรือวัตถุที่ไม่สามารถให้กำเนิดสนามแม่เหล็ก ได้แก่ ไม่มีคุณสมบัติการดูดและการผลักกันระหว่างกันดั่งเช่น แท่งแม่เหล็ก

163. เหรียญขรัวโต สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน สร้างถวาย ร.5 พ.ศ.2411


เหรียญขรัวโตสร้างถวายรัชกาลที่ 5 เสวยราช 2411 รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน

พระชุดนี้เป็นของญาติธรรมส่งมาเปิดเผย  เพื่อเป็นวิทยาทานและให้บุคคลที่สนใจศึกษาวัตถุมงคลที่หลวงปูโตอธิษฐานจิตที่ได้สร้างในสมัยโบราณ มีมากมายหลากหลายชนิดเป็นที่น่าสนใจ ไม่ใช่มีเพียงพระสมเด็จฯสี่เหรียมชิ้นฝักดั่งที่เสี้ยนเขียนตำราเขียนตำราให้เซียนตำราเข้าใจกันดังเช่นสมัยนี้

พระฯชุดนี้เป็นเหรียญที่มีพุทธคุณโดดเด่นมากอีกชุดหนึ่ง ที่สมเด็จโตสร้างถวาย รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสวยราช พ.ศ. 2411 ด้านหลังมีอักขระระบุถึงรายละเอียด
--- ยันต์เสริมดวงชะตา
--- ไพรีพินาศ 
--- โชคดี ลาภดี 
--- อธิษฐานจิตปลุกเสก เสาร์ ๕ เดือน ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ ตลอด 1 ไตรมาส

ทั้งชุด มี
*** เนื้อทองคำ
***  เนื้อกะหลั่ยทอง(ไม่ทราบเนื้อใน)
***  เนื้อเงินลงยา
***  เนื้อเงิน
***  เนื้อทองแดง
***  เนื้อ(ไม่ทราบ).....บุเงิน
 
1631001  เหรียญเนื้อทองคำฯ  ผลที่ตรวจได้มีโลหะผสม ดังนี้ Au = 67.3% Ag = 15.61% Cu = 2.68% Hg = 13.7% Other = 0.71% 

1631002  เหรียญเนื้อกะหลั่ยทอง(ไม่ทราบเนื้อใน)

1631003  เหรียญเงิน
 
1631004  เนื้อ(ไม่ทราบ).....บุเงิน


1631005  เหรียญเงินลงยาราชาวดี ด้านหน้าเหรียญจะคล้ายกับ 4 เหรียญที่ผ่านมา  แต่ด้านหลังไม่เหมือนกัน  ซึ่งแสดงให้ทราบว่าเป็นเหรียญที่สร้างต่างวาระ 



162. กรรมบถ 10 หลวงพ่อฤษี วัดท่าซุง

คำสอนของพระศรีอาริยเมตไตรย
อ้างอิงจาก ประวัติการสร้าง พระศรีอาริยเมตไตรย โดย: พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุง)


     กล่าวถึงพระพุทธบัญชาสมเด็จองค์ปฐมให้สร้างรูปหล่อพระศรีอาริยเมตไตรย ที่วัดท่าซุง มีตอนหนึ่งสมเด็จองค์ปฐมได้เรียก พระศรีอาริย์มา...พระศรีอาริย์ก็มา...สรุปให้หล่อเป็นรูปเหมือนท่านดังรูปด้านบน
     "จักร" มือขวามีไว้ห้อยเฉยๆ หมายถึง "ธรรมจักร" หมายความว่า หากคนใดที่มีกิเลสหนามาก มีทฺฏิมานะหนามาก ต้องใช้จักรปราบปราม คือ "ธรรมจักร"
     คนใดมีกิเลสน้อยก็ให้ใช้ "พระขรรค์" เคาะ หรือ ใช้ถู หรือขูดก็หาย
     .....ท่านได้กล่าวว่า  "เวลานี้ผมเป็นเทวดา...ให้หล่อเป็นรูปเทวดาอย่าเพิ่งหล่อรูปเป็นพระ" (เป็นอันยืนยันได้ว่า ขณะนี้ท่านยังเป็นเทวดา ยังมิได้จุติลงมาอย่างที่บางคนเข้าใจ ขอให้ระวังอุปทาน..16 มีนาคม พ.ศ.2535)


คำสอนของพระศรีอาริย์ นี่...สำหรับคนมี "บารมีอ่อน" นะ   คนมีบารมีเข้มให้ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้  ถ้าคน "บารมีอ่อน" ตั้งใจไปนิพพานชาติพระศรีอาริย์ หรือวางแผนไว้ 2 อย่างก็ได้ว่า ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าพลาดชาตินี้ ขอให้ได้นิพพานสมัยพระศรีอาริย์ก็ได้
 
ท่านบอกว่า "ให้ทุกคนที่ต้องการเกิดทันสมัยผม  ให้รักษา ศีล 5 เป็นปกติ  รักษา กรรมบถ10 เป็นปกติทุกวันไม่คลาดเคลื่อนอย่างนี้เป็น อุคฆฎิตัญญู ไปเกิดในสมัยผมฟัง เทศน์แค่หัวข้อเล็ก ๆ สั้น ๆก็บรรลุมรรคผลทันที

 
ถ้าบาง ท่านที่บารมีอ่อนกว่านั้น  วันธรรมดา ๆ  อาจจะบกพร่องบ้างเป็นของธรรมดา  แต่สำหรับวันพระต้องรักษาให้ครบถ้วนทั้ง ศีล 5 และกรรมบถ 10 หมายความตามธรรมดาคนเรามีอาชีพต่างกัน  บางคนปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร  ก็ต้องฉีดยาฆ่าเพลี้ยฆ่าสัตว์ที่มารบกวนพืชพันธุ์ธัญญาหารบ้าง  บางคนมีอาชีพไปในทางการประมง  ต้องทำการประมงฆ่าปลาฆ่าสัตว์บ้าง



ถ้าอย่างนี้ถือว่าวันธรรมดาบกพร่องได้  และวันพระต้องครบถ้วนบริบูรณ์  อย่างนี้ถ้าเกิดในสมัยผม เขาเรียกว่า เนยยะ เทศน์ครั้งเดียวสองครั้งยังไม่มีผลต้องฟังเทศน์หลาย ๆ หนสามารถเป็นพระอริยะได้...

 
คำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

พระ เดชพระคุณองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เมตตาสอนเรื่องศีล 5 กับกรรมบถ 10 ว่ารวบเลยทั้งศีล 5 กับ กรรมบถ10 บวก กันแล้วจะเป็น 11 ซึ่งเป็นของไม่ยาก ถ้าปฏิบัติในกรรมบถ 10 กับศีล 5 บวกกันได้ก็ดี ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ก็ตาม นึกถึงความตายเป็นปกติก็ดี ทรงลมหายใจเข้าออกกับภาวนาได้แบบสบาย ๆ ก็ตาม ทุกคนทำได้อย่างนี้ จิตจะมีความสุขในชาตินี้จะหาความทุกข์ได้ยากจะมีแต่อารมณ์สดชื่นไปไหนก็เป็น ที่รักของคนทุกคน
ไว้ดังนี้


ทางกาย
1.ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ทรมานสัตว์
2.ไม่ลักทรัพย์ไม่โกงเขา
3.ไม่ประพฤติผิดในกาม

ทางวาจา อีก 4 คือ
1.ไม่พูดปด
2.ไม่พูดหยาบคาย
3.ไม่ส่อเสียดยุยงให้เขาแตกร้าวกัน
4.ไม่พูดวาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์

ทางจิตใจ
1. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นใดโดยไม่ชอบธรรม  ถ้าเขาไม่ให้โดยเมตตา เราไม่เอาและก็ไม่อยากได้พอใจเฉพาะทรัพย์สินที่เราหามาได้โดยชอบธรรม
2.ความโกรธยังมีอยู่แต่ไม่จองล้างจองผลาญไม่พยาบาทใคร
3.ยอมรับนับถือคำสอนพระพุทธเจ้าตรงยอมปฏิบัติตาม



ที่มา โอวาทหลวงพ่อฯ เล่ม 2 กล่าวถึงกรรมบถ 10 ดังนี้

สำหรับกรรมบถ 10  ดูแล้วธรรมะข้อนี้เป็นการเตรียมทางเข้าสู่พระนิพพานจริง ๆ หากว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคนทรงกำลังนี้ได้  อาตมาก็คิดว่าความเป็นพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีน่ะ อยู่ในกำลังใจเราแน่ จะเห็นว่ากรรมบถ 10 เขาแยกไว้ดังนี้ ทางกาย

1. ไม่ฆ่าสัตว์
2. ไม่ลักทรัพย์
3. ไม่ประพฤติผิดในกาม

ทางกายมี 3 ถ้าเราบวกมีศีล 5 ก็เพิ่มเว้นสุราอีกข้อหนึ่ง แต่ความจริงถ้าจิตดี  มันก็ไม่ต้องเว้น ที่ท่านไม่ติดสุราไว้ เพราะว่ากำลังใจดี ก็ไม่ต้องเว้น ไม่ต้องบอกไว้มันก็เว้นเอง

สำหรับทางด้านวาจา วาจาท่านแยกไว้เป็น 4 คือ
1. ไม่พูดปด
2. ไม่พูดคำหยาบ
3. ไม่พูดวาจาทำให้แตกร้าวกัน
4. ไม่พูดวาจาไร้ประโยชน์ นี่ด้านวาจา

นี่ด้านวาจา สำหรับ ด้านจิตใจ ท่านแยกไว้ 3 คือ
1. ไม่คิดอยากจะได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นใดที่เขาไม่ให้โดยชอบธรรม
2. ไม่คิดประทุษร้ายคนอื่น
3. ทำความเห็นให้ถูก

ทั้ง หมดนี้เป็นภาคพื้นของพระนิพพานโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศีลข้อที่ 1 หรือข้อที่ 2 หรือข้อที่ 3 ก็ตามที่จะรักษาได้เราต้องมี เมตตา กรุณา ประจำใจเพราะว่าถ้าขาด เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร จะรักษาศีลข้อที่ 1 ไม่ได้

สำหรับด้านจิตใจ ด้านจิตใจพระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยตรงว่า
จง อย่าคิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นมาเป็นของเราโดยไม่ชอบธรรม คือไม่ลัก ไม่ขโมย ไม่คิดไม่โกง ไม่ยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของเขา ตัวนี้ท่านตรัสไว้ถึงใจ แต่ความจริงศีลก็ดี ธรรมก็ดี ถ้ารักษาใจตัวเดียวก็หมดเรื่อง แล้วข้อที่ 2 ไม่คิดประทุษร้ายบุคคลอื่น คือว่ามีเมตตาหนัก ข้อที่ 3 ทางด้านจิตใจ ก็คือทำความเห็นให้ถูก ที่เขาเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ทำความเห็นให้ถูก ก็หมายถึงว่าตัวนี้เป็นตัวปัญญา คือ กรรมบถ 10 นี่มีทั้งศีล มีทั้งสมาธิ มีทั้งปัญญาหมดให้พูดตามตำราก็บอกว่า มีทั้งศีล มีทั้งสมถะ มีทั้งวิปัสสนาญาณ

สัมมาทิฏฐิ
 คือตัวทำความเห็นให้ถูก ตัวนี้ตัวปัญญา เขาเรียกว่า วิปัสสนาญาณ ความเห็นให้ถูกเป็นอย่างไร คือว่าถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเราคิดประทุษร้ายเพื่อนหรือเราประทุษร้ายเพื่อนเมื่อไร เพื่อนก็ทำร้ายเราเมื่อนั้น เราลักขโมยของเขาเมื่อไร เขาก็เกลียด เขาก็เป็นศัตรูกับเรา เราแย่งความรักของบุคคลใด บุคคลนั้นเขาก็เกลียดเรา เขาก็เป็นศัตรูกับเรา

ถ้าเราพูดไม่ดีกับ บุคคลใด บุคคลนั้นเขาก็เกลียดเรา เราก็มีความทุกข์ ต่อมาก็คิดต่อไปด้วยกำลังปัญญาว่า ถ้าเรายังเกิดเป็นมนุษย์อยู่ ถึงแม้ว่าเราจะทำดี เราจะคิดดี แต่ทว่าคนที่พูดชั่ว ทำชั่ว คิดชั่ว เขายังมีอยู่

ฉะนั้น บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท การปฏิบัติความดีของท่านทุกคนที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า การทำความดีแล้วจะมีความสุข อันนี้ความสุขอยู่ในใจของเรา แล้วก็จงคิดว่าคนบางคนที่มีความเลวเกินขนาด เขาอาจจะคิดประทุษร้ายเราได้ ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้น ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน ว่าพระพุทธเจ้าท่านดีกว่าเราขนาดไหน ท่านยังถูกขนาดนี้ เราก็อาจจะถูกน้อยกว่าท่าน แต่เราอาจจะอดทนไม่ได้เท่าท่านก็ได้นะ แค่ด่าเบา ๆ อาจจะอดได้ ถ้าด่าหนัก ๆ คือจ่ายมากเกินไป เราอาจจะจ่ายคืนเขาก็ได้ ก็เป็นอันว่าการเจริญธรรมของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ให้ถือพรหมวิหาร 4 เป็นสำคัญ แต่ก็ต้องรับรู้ไว้ด้วยนะ ถ้าเราดีเขาอาจจะไม่ดี ก็ต้องคอยหลบนี่เป็นเรื่องธรรมดา

สำหรับ การที่เราจะคิดว่าเราไม่ฆ่าเขา ไม่ลักไม่ขโมยเขา ไม่ละเมิดความรักของบุคคลอื่นแล้วก็ไม่พูดปด ไม่พูดหยาบ ไม่พูดวาจาให้เขาแตกร้าวกัน คือ ไม่นินทากัน และไม่พูดวาจาเหลวไหล ตัวนี้เป็นศีล แต่ว่าศีลนี้จะทรงอยู่ได้เพราะอาศัยสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิ ศีลทรงอยู่ไม่ได้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่จะต้องประกอบช่วยกันอยู่เสมอ แยกกันไม่ได้

อันดับ แรกก่อนที่เราจะทรงกรรมบถ 10 ได้ ก็ต้องเป็นคนมีปัญญาก่อน ปัญญาเบื้องต้นเห็นว่ากรรมบถ 10 เป็นปัจจัยของความสุข ถ้าเราไม่ฆ่ากัน ไม่ลักขโมยของกันไม่ยื้อแย่งความรักกัน พูดแต่ความจริง และพูดแต่วาจาไพเราะ ไม่พูดให้เขาแตกร้าวกันพูดแต่วาจาที่มีประโยชน์ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยของความรักระหว่างกันและกัน เมื่อต่างคนต่างมีความรักกันมันก็เป็นสุข นี่อาศัยปัญญาเป็นตัวรู้ก่อน ในเมื่อมีปัญญาแล้วจึงตั้งใจรักษาศีล จะเห็นได้ว่าศีลทั้งหมด หรือว่ากรรมบถทั้งหมดนี่ ทั้ง 7 ข้อ คือ กายกับวาจาต้องมีความสำคัญที่ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสารถ้ามีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร เป็นคุณธรรมอยู่ในพรหมวิหารทั้งหมดที่ทรงตัว ถ้าจะทรงตัวนี่ถือว่าเป็นสมาธิ

สมาธิก็คือ การตั้งใจ เราตั้งใจว่าเราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร เราจะรักและสงสารคนและสัตว์เหมือนกับรักและสงสารตัวเรา ตัวนี้เป็นสมาธิ เมื่อสมาธิตัวนี้มีอยู่แล้ว จิตก็ทรงตัว คือไม่คิดประทุษร้ายใครเขา ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร อันนี้เป็นตัวสมาธิ หรือ สมถภาวนา


วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

161. รูปเหมือนทรงผนวช ร.5 พ.ศ.2416 และ พระกริ่ง จปร

      การที่เรามีพระฯมาไว้ในครอบครอง จะเป็นพระฯบูชาหรือพระฯหามาไว้ติดตัว  ต่างมีเหตุผลของแต่ละคน ส่วนตัวผู้เขียนทั้งศึกษาและเคารพนับถือ บางคนอาจกล่าวว่าห้อยคอเพื่อเป็นพุทธานุสติบ้าง ขอพระเมตตาคุ้มครองภัยฯลฯ หรือ นักสะสมประเภทชอบหยิบพระขึ้นมาส่อง มาดู ทำให้เราใจเย็นขึ้น ไม่เฉพาะแต่เรื่องคุณงามความดีที่นับถือ ทำให้อยากศึกษาและค้นคว้าต่อไป ยังมีบางคนทำเป็นอาชีพนำมาค้าขายและก็มีบ้างแลกเปลี่ยนกับคนรู้จัก เพื่อนำมาศึกษา ไม่ใช่แต่เฉพาะเรื่องของความขลังเท่านั้นเพียงด้านเดียว

       ในกระทู้นี้ผู้เขียนขอกล่าวถึง รูปเหมือนทรงผนวชของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวง ร.5 เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 20 พรรษา จึงทรงลาผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2416 ทรงผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นเวลา 15 วัน

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
พุทธศักราช 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ ทรงผนวชแล้วเสด็จประทับ ณ พระพุทธรัตนสถานมณฑราราม ในพระบรมหาราชวังชั้นใน ทรงเชิญเสด็จสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระราชปัธยาจารย์ และนิมนต์พระราชาคณะผู้ใหญ่วัดต่าง ๆ เข้าไปอยู่ด้วยพอครบคณะสงฆ์ ครั้งทรงผนวชได้ 15 วัน จึงทรงลาผนวชแล้วทรงรับพระบรมราชาภิเษกอีกครั้งหนึ่ง

1611001 รูปถ่ายในหลวง ร.5 ซ้ายมือสุด

1611002 พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับยืน ณ พระพุทธรัตนสถานมณฑิราราม ในพระบรมมหาราชวังชั้นใน

 
1611003 พระพุทธรัตนสถานมณฑิราราม ในพระบรมมหาราชวัง        


1611004 รูปหล่อพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ.2416 เป็นพระรูปหล่อจากรูปถ่ายพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับยืน มีอายุความเก่ามากกว่า 138 ปี  องค์นี้เป็นของญาติธรรมท่านหนึ่งเปิดเผยเพื่อเป็นวิทยาทานและได้ชื่นชมบารมีร่วมกัน


         ได้มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ขึ้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยในครั้งนี้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนามย่อ " จปร "  

         ในการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2  ได้มีการสร้างพระกริ่งวังหลวงที่เรียนแบบพิมพ์มาจาก พระกริ่งฯ พ.ศ. 2401 (รูป 1611005 - 1611006 ) และ พ.ศ.2411(รูป 1611007ในวาระ พ.ศ. 2416 (รูป 1611008 - 161109) ได้สร้างพระกริ่งให้มีความแตกต่างโดยที่แผ่นประกบฐานพระกริ่งฯมีพระนามย่อ " จปร "  

พระกริ่ง วังหลวง สร้างเพื่อบูชาพระรัตนะเมื่อครั้งสร้างพระธาตุพนมที่วังหน้า ปี พ.ศ.2401 ก้นฐานพระกริ่งฯที่พบมีจารรอยลายมือ ธาตุพนม พ.ศ. 2401 และ ขรัวโต 2401 ดังรูปที่ 161105 และ 161106

1611005 พระกริ่งฯ สร้างวาระ ปี พ.ศ. 2401 มีหลายพิมพ์

1611006 ก้นฐานพระกริ่งฯ สร้างวาระ ปี พ.ศ. 2401 สร้างเพื่อบูชาพระรัตนะ เนื่องในวาระสร้างพระธาตุพนม(วังหน้า กรุงเทพฯ) ก้นมีรอยจารธาตุพนม 2401 และ ขรัวโต 2401 เพื่อให้ชนรุ่นหลังทราบว่าขรัวโต(สมเด็จโตวัดระฆัง) ร่วมสร้างและอธิษฐานจิต  พระกริ่งฯทั้งหมดที่สร้างในวาระนี้ได้ถูกบรรจุกรุที่วัดพระแก้ว  ไม่ใช่บรรจุในเจดีย์พระฐานพนม(วังหน้า กรุงเทพ)

1611007 ก้นฐานพระกริ่งฯ สร้างวาระ ปี พ.ศ. 2411 สมเด็จโตอธิษฐานจิต สร้างเพื่อบูชาพระรัตนะ เนื่องในวาระขึ้นครองราชย์ของ ร.5 ในปี พ.ศ. 2411 พิมพ์นี้เป็นพิมพ์เดียวกันกับพระกริ่งฯที่สร้างวาระ ปี พ.ศ. 2401


1611008 ก้นฐานพระกริ่งฯ " จปรพระนามย่อ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธย ได้มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ขึ้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416
         สร้างวาระ ปี พ.ศ. 2416 สมเด็จโตไม่ได้อธิษฐานจิต เนื่องจากสมเด็จโต มรณภาพ ในปี พ.ศ. 2515 (มกราคม)
         สร้างเพื่อบูชาพระรัตนะ เนื่องในวาระขึ้นครองราชย์ฯของ ร.5 ในปี พ.ศ. 2411 พิมพ์นี้เป็นพิมพ์เดียวกันกับพระกริ่งฯที่สร้างวาระ ปี พ.ศ. 2401 และ พระกริ่ง พ.ศ.2411


1611009 พระกริ่ง ก้น " จปร " ด้านหน้าและด้านหลัง เป็นพระกริ่งเรียนแบบพิมพ์ พระกริ่งในปี พ.ศ.2401 และ พ.ศ.2411 องค์นี้เป็นพระกริ่งเนื้อทองคำ ได้ผ่านการตรวจด้วย X-Ray Fluorescent มี
เนื้อโลหะที่พบ มีดังนี้ Au =85.79%
Ag = 6.25% Cu = 7.84% Pb = 0.12%



1611010 พระกริ่ง ก้น " จปร " ด้านหน้าและด้านหลัง เป็นพระกริ่งเรียนแบบพิมพ์ พระกริ่งในปี พ.ศ.2401 และ พ.ศ.2411 องค์นี้เป็นพระกริ่งเนื้อเงิน

1611010 พระกริ่ง ก้น  ด้านหน้าและด้านหลัง เป็นพระกริ่งเรียนแบบพิมพ์ พระกริ่งในปี พ.ศ.2401 และ พ.ศ.2411 องค์นี้เป็นพระกริ่งเนื้อทองเหลือง


หมายเหตุ พระกริ่ง ก้น" จปร " เป็นพระกริ่งของญาติธรรม เพื่อให้ทราบและเข้าใจถึงวาระการสร้างพระกริ่งฯ อีกทั้งเข้าใจวิวัฒนาการฝีมือในแต่ละยุคสมัยของช่างสิบหมู่ เพือเป็นวิทยาทานกับผู้ที่ศึกษา

ในคำจำกัดความไม่ว่าจะเป็นคำว่า พระวังหน้า หรือ พระวังหลวง ยากที่จะแยกได้ว่าเป็นพระของวังใด ดังเช่นพระกริ่ง พ.ศ. 2401, พ.ศ.2411 และ พ.ศ. 2416 มีลักษณะทรงพิมพ์เหมือนกัน  ดังนั้นผู้เขียนมักจะเรียกสั้นๆว่า "พระฯของสายวัง"