วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

71 ภัยพิบัติกับพุทธานุภาพของพระกริ่งปวเรศและพระเครื่องของสายวัง

วันนี้ข่าวภัยพิบัติเกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น

สำนักข่าวต่างประเทศได้เผยแพร่ภาพนาทีที่คลื่นยักษ์สึนามิขนาดความสูง 6 เมตร พัดถล่มชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผลพวงมาจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.9 ริคเตอร์ที่เกิดขึ้นบริเวณนอกชายฝั่งทะเลห่างจากกรุงโตเกียวไปราว 380 กิโลเมตร เบื้องต้นมีรายงานยอดผู้เสียชีวิตทะลุ 300 ราย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก มีคนหายนับหมื่นคน

หากดูข่าวจากการเปิดเผยช่วงหลัง  จะพบรายงานคลื่นยักษ์สึกนามิสูงมากกว่า 10 เมตร  มีภาพวีดีโอบันทึุกไว้มากมาย  หาดูได้ทางอินเตอร์เน็ต  ลิงค์ตัวอย่าง...รูปภาพและวีดีโอ


ใครมีพระกริ่งปวเรศ  ไม่ว่าจะเป็น พ.ศ.2394 ถึง พ.ศ.2407 
และพระกริ่งฯที่สร้างและอธิฐานจิตโดยสมเด็จโตฯ ตั้งแต่ พ.ศ.2382 ถึง พ.ศ. 2414
อีกทั้งพระกริ่งกลุ่มวัง...ที่สร้างอธิฐานจิตถึง พ.ศ.2434
อย่าเก็บไว้ในบ้านเฉยๆนะครับ  นิมนต์ท่านห้อยติดคอไว้  เพราะพระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 นั้นเป็นพระเครื่องที่ได้มีการพุทธาภิเษกอธิฐานครบทุกด้านครอบจักรวาล  หากเกิดภัยพิบัติร้ายแรง  ดวงไม่ถึงที่ตาย  พุทธานุภาพที่อธิฐานจิตปลูกเสกไว้กับองค์พระกริงปวเรศ  พระท่านฯจะสงเคราะห์ช่วยจากการรับผลกระทบยกตัุวอย่างเรื่องภัยพิบัติ  จากหนักเป็นเบา  จากเบาเป็นปกติ

ใครมีพระกริ่งปวเรศ และพระกริ่งของสายวัง...มากองค์แบ่งๆไปให้ญาติพี่น้องของท่านจะเป็นการดีที่สุด  เพราะพระกริ่งฯนี้สร้างขึ้นมาเพื่อชาติบ้านเมือง และประชาชนมีความกินดีอยู่ดีของคนในชาติ  เมื่อพระกริ่งฯท่านออกมาสู่ตลาดพระฯกระจายทั่วประเทศแสดงว่าต้องมีอะไรสักอย่างในอนาคต

กันไว้ดีกว่าแก้ครับ  เพราะผู้เขียนดูจากภาพวีดีโอข่าวเกี่ยวกับ แผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น เกิดคลื่นยักษ์สึนามิกวาดทุกอย่างที่ขวางหน้า  น่ากลัวจริงๆ แผ่นดินไหว  ไฟไหม้  น้ำท่วม

---บทความเพิ่มเติม 26 / 11 / 2554---
ผู้เขียนแนะนำ ให้ทุกท่านที่มีวัตถุมงคลของสมเด็จโต(วัดระฆัง)ที่อธิฐานจิต นิมนต์ท่านติดตัวไว้เสมอๆดังนี้
- เครื่องรางของขลัง 
อันดับ 1  สร้อยประคำเหล็กไหล
อันดับ 2  มีดหมอ ที่อธิฐานจิตโดยปู่โต
อันดับ 3  เบี้ยแก้ สายวังที่อธิฐานจิตโดยปู่โต
อันดับ 4 ...

- พระกริ่งฯ (มีพลังพุทธานุภาพป้องกันภัยพิบัติ)
อันดับ 1 พระกริ่งฯ สร้างสมัย ร.3 พ.ศ. 2382 ที่อธิฐานจิตโดยปู่โต

อันดับ 2 พระกริ่งปวเรศ ที่อธิฐานจิตโดยปู่โต พ.ศ. 2394 - พ.ศ. 2398 (สมัียสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ สมเด็จปวเรศ)

อันดับ 3 พระกริ่งปวเรศ ที่อธิฐานจิตโดยปู่โต พ.ศ. 2399 - พ.ศ. 2414
อันดับ 4 พระกริ่งปวเรศ  พ.ศ. 2416 - พ.ศ. 2434 

- พระเนื้อผง (มีพลังพุทธานุภาพป้องกันภัยพิบัติ)
อันดับ 1 พระสมเด็จพิมพ์พิเศษที่มีความแรงพลังพุทธคุณ ไร้ขีดจำกัด
อันดับ 2 พระสมเด็จพิมพ์พิเศษที่มีความแรงพลังพุทธคุณความแรง 32 เท่า ถึง 255 เท่า
อันดับ 3 พระเครื่องสายวัดท่าซุง...(เฉพาะรุ่น...ที่ทันหลวงพ่อฤาษี) เช่น พระคำข้าวและพระหางหมาก

- พระพุทธรูปบูชาประจำบ้าน (มีพลังพุทธานุภาพป้องกันภัยพิบัติ)
อันดับ 1 พระบูชาสมเด็จองค์ปฐม ปู่โตอธิฐานจิต

อันดับ 2 พระบูชารูปเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทันปู่โตอธิฐานจิต
อันดับ 3 อื่นๆอีกมากมาย



วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

70. มีพระกริ่งปวเรศเหตุไฉนจะไม่มีพระชัยวัฒน์หรือพระไชยวัฒน์

บทความในลำดับที่ 68 ผู้เขียนได้กล่าวถึงพระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 พ.ศ.2404 เป็นที่เรียบร้อย  


พระชัยวัฒน์ พ.ศ.2404 อธิฐานจิตโดยสมเด็จฯโต 


เมื่อมีพระกริ่งฯย่อมต้องมีพระชัยวัฒน์ขนาดองค์เล็ก(พระไชยวัฒน์) เป็นของคู่กัน

เริ่มต้นรัชกาลใหม่จะมีการสร้างพระไชยวัฒน์หรือพระชัยวัฒน์(เปลี่ยนชื่อเรียกในสมัยรัชกาลที่ 7) ประจำรัชกาลขึ้นมาทุกรัชกาลตามธรรมเนียมโบราณ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะรู้จักในนามพระชัยหลังช้างเป็นต้น

วันนี้ผู้เขียนขอแนะนำพระชัยวัฒน์ ที่อธิฐานจิตในพิธีฯเดียวกันกับพระกริ่งปเรศรุ่น 1 พ.ศ.2404 ให้ผู้ที่สนใจได้รู้จัก  พระชัยวัฒน์ ทั้ง 3 องค์บรรจุเม็ดกริ่งอยู่ในฐานองค์พระ  ซึ่งเป็นพระชัยวัฒน์ ฯที่มีราคาย่อมเยามากๆ ณ.เวลาขณะนี้  ใครได้พบนับว่าเป็นบุญพาวาสนาส่งจากอดีตชาติ  ใครได้ครอบครองนับว่าโชคดีมาก  มีพุทธานุภาพครอบจักรวาลดั่งพระกริ่งปวเรศรุ่น 1 พ.ศ.2404

รูปที่ 1  พระชัยวัฒน์ เนื้อสัมฤทธิ์แดง-อ่อน(สีเนื้อนาค) ก้นทองคำ ชุบทองหรือเปรียกทองหรือกะไหล่ทอง พ.ศ.2404
พระชัยวัฒน์ รูปที่ 1 นี้  เฉพาะองค์นี้ภายในบรรจุเม็ดกริ่ง เมื่อเขย่าเสียงจะดังเหมือนเสียงกระพรวน
รูปที่ 2  พระชัยวัฒน์ พ.ศ.2404 ทั้ง 3 องค์บรรจุเม็ดกริ่งภายในฐานพระฯ


รูปที่ 3 พระชัยวัฒน์ พ.ศ.2404 ด้านหลัง

รูปที่ 4 ก้นพระชัยวัฒน์ พ.ศ.2404 

เพิ่มเติมข้อมูลวันที่ 22/7/2555
ในกระทู้ที่ 70 นี้ได้กล่าวถึงพระชัยวัฒน์สร้างสมัยรัชกาลที่ 4 วาระ พ.ศ.2404  เป็นพิมพ์ทรงที่งดงามพิมพ์หนึ่ง ที่ผู้เขียนพบพระชัยวัฒน์พิมพ์นี้มีสร้างหลายวาระหลาย พ.ศ. ด้วยกัน 

และหากใครที่เป็นเซียนพระชัยวัฒน์จะพบเห็นการกล่าวอ้างว่า พระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์ได้สร้างพระชัยวัฒน์ขึ้นมา เมื่อ พ.ศ.2459 มีพิมพ์ทรงคล้ายกับ พระชัยวัฒน์(หัวไม้ขีด)ในกระทู้นี้มาก  แต่มีฝีมือการตบแต่งและวิธีการทำฝีมือสู้ช่างสิบหมู่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 พ.ศ.2404 ไม่ได้

พระองค์นี้(รูปที่5)เป็นพระชัยวัฒน์ที่สร้างโดยพระสังฆราชแพ จริงหรือเท็จ ผู้เขียนไม่ได้สัมผัส  จึงไม่่ขอยืนยัน  นำรูปมาลงเพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงฯเท่านั้นว่า มีคนเขากล่าว...ไว้

รูปที่ 6 มีญาติธรรมส่งรูปมาสอบถามว่า "ใช่พระชัยวัฒน์ที่สร้างโดยพระสังฆราชแพ ใช่หรือไม่ใช่?" ผู้เขียนไม่ได้สัมผัส  จึงไม่่ขอยืนยัน  นำรูปมาลงเพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงฯเท่านั้นว่า มีคนเขากล่าว...ไว้อีกองค์หนึ่ง

รูปที่ 7  เปรียบเทียบพระชัยวัฒน์(หัวไม้ขีด)องค์ซ้ายมือสร้างสมัยรัชกาลที่ 4 พ.ศ.2404 กับพระชัยวัฒน์ องค์ขวามือ ที่มี "ผู้กล่าวอ้างว่าสมเด็จพระสังฆราชแพ สร้าง พ.ศ.2459"
--- พิจารณาจะพบว่า ฝีมือช่างสิบหมู่เมื่อ พ.ศ.2404 ตบแต่งองค์พระ...ได้สวยงามฝีมือต่างกันเยอะ
--- วรรณะสีผิวขององค์พระชัยวัฒน์...พ.ศ.2404 ดูยังไงๆก็เก่ากว่ากันเห็นความแตกต่างกันมาก


อ้างอิงบทความกระทู้ที่เคยเขียนเกี่ยวข้อง
72. พระชัยวัฒน์ ตอนที่ 1  
73. พระชัยวัฒน์ ตอนที่ 2 

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

69.อ้างลอกกันไปลอกกันมา...ฮา

อ้างลอกกันไปลอกกันมา...ฮาครับ กับบุคคลที่ชอบทำตัวเป็นเซียนใหญ่


ผู้เเขียนขอยกเป็นกรณีศึกษา  เพื่อที่คนรุ่นใหม่จะได้ทราบและไม่โง่ที่จะถูกตำราที่เซียน...อ้างกันไปอ้างกันมา...ข้อมูลที่อ้างมีเกินครึ่งที่คิดไปเอง


หนังสือพระหลายต่อหลายเล่มพยามลอกเรียนแบบข้อมูลเรื่อง พระกริ่งปวเรศ วัดบวรนิเวศวิหาร อ้างองค์ครู  กระทู้ที่ 69 นี้  ผู้เขียนจะนำข้อเท็จจริงมาให้ทราบว่าในอดีตตำรา...หลายๆเล่มจนถึงปัจจุบัน นิยม อ้างและลอกอะไรมาคุย เพื่อขายหนังสือกันบ้าง


เรื่องที่ 1
พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 หมายถึง พระกริ่งปวเรศ รุ่น แรก ของวัดบวรนิเวศวิหารที่สร้างโดย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ลอกข้อมูลต่อๆกันด้วยการอ้าง สร้างเป็นการส่วนพระองค์ "...มีจำนวนน้อยไม่เกิน 30 องค์..."


     ใส่ข้อมูลตีไข่เสริมแบบลอกกันมาอีกว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ จัดสร้างส่วนพระองค์ เพื่อถวายให้กับรัชกาลที่ 5 และเจ้านายเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงกับขุนนางใกล้ชิด โดยประกอบพิธีที่วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นการสร้างเพื่อถวายพระมหากษัตริย์และบุคคลสำคัญทำให้มีการสร้างจำกัด 
     พร้อมทั้งอ้าง สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งเป็นพระสังฆราชองค์ที่ 13 ว่าทรงตรัสเล่าไว้ในตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร  เพื่อสร้างภาพให้ผู้อ่านหรือผู้ศึกษาหลงเข้าใจประเด็นตามที่ผู้อ้างอิงเสนอ


ผู้เขียนขอสรุปเรื่องที่ 1 ดังนี้
...พระกริ่งฯนั้นไม่ใช่จะสร้างกันได้ง่ายๆอย่างที่เซียนตำราคิด...เริ่มตั้งแต่สร้างหุ่น  ทำเบ้าหล่อ  รวบรวมมวลสารโลหะธาตุต่างๆ กระขบวนการหล่อ  ตบแต่ง  พุทธาภิเศก  แม้นกระทั้งตอกโค๊ดเมล็ดงา ถามจริงเซียนตำรา...สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงตอกโค๊ตด้วยใช่ม๊๊ยกันปลอม..ฮา
...สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ท่านเป็นพระผู้ใหญ่และเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง  ลองพิจารณาดูนะครับว่าท่านจะว่างมาสร้างพระกริ่งด้วยตนเองแจกจริงหรือ?


ผู้เขียนขอเอารูปในยุคนี้ให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษา ทำความเข้าใจคำว่า "สร้าง" ที่เซียนตำราหลงประเด็น หาทางกลับบ้านไม่ถูก เกิดจากลอกกันไปลอกกันมา  เพราะไม่เข้าใจคำว่า "สร้าง" จึงหาทางลงไม่ได้จึงมั่วคิดไปเอา


รูปที่ 1  
หลวงปู่ทิมเททอง พระอาจารย์ทองเจือ และพระอาจารย์เชย เจ้าอาวาส วัดละหารไร่องค์ปัจจุบันช่วยจับสายสิญ จะเห็นกระบอกเบ้าพระกริ่งจำนวนมากเพราะพระทุกองค์เทในพิธี
หลวงปู่ทิมสร้างใช่หรือไม่? 
รูปที่ 2 แล้วรูปนี้หลวงปู่ทิมสร้างใช่หรือไม่? 

รูปที่ 3 หลวงพ่อคูณ เททองพระกริ่งวิทยาคม ปาฎิหาริย์พระอาทิตย์ทรงกลดต่อหน้าลูกศิษย์
เททอง - หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เป็นประธานเททองหล่อพระกริ่งเทพวิทยาคม ที่วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ใช้ฤกษ์เวลา 15.09 น. เมื่อวันที่ 17 ก.พ. มีบุคคลสำคัญร่วมพิธีจำนวนมาก
รูปที่ 3 หลวงพ่อคูณสร้างใช่หรือไม่?

รูปที่ 4 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเททองหล่อพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ปวเรศ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันศุกร์ที่ 27 ธ.ค.2528 เป็นปฐมมหามงคลฤกษ์ของพิธีเททองหล่อพระ ซึ่งสมเด็จพระญาณสังวรฯ ทรงเป็นประธานพิธีการเททองหล่อพระ ณ มณฑลพิธีวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
 รูปที่ 4 รูปนี้ใครสร้างครับเซียนตำรา...

รูปที่ 5 สมเด็จพระญาณสังวรฯ ทรงเป็นประธานพิธีการเททองหล่อพระ ณ มณฑลพิธีวัดบวรนิเวศวิหาร ...รูปนี้ใครสร้าง?
ภาพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อพระรูป
พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน
ณ กองบัญชาการกรมการทหารช่าง ค่ายภาณุรังษี อ.เมือง จ.ราชบุรี
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2531...ภาพนี้ใครสร้าง?

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทรงเททองหล่อพระอารยตารามหาโพธิสัตว์ และทรงเป็นประธานในพิธีมหาพุทธาภิเษกเหรียญพระอารยตารามหาโพธิสัตว์....ใครสร้าง?


 รูปภาพนี้ ใครสร้าง?




 สรุป เข้าใจคำว่า "สร้าง" หรือไม่ หมายถึง อะไร


ใครพูดไม่ใช่เรื่องใหญ่  ที่สำคัญคือ ข้อมูลนั้นจริงหรือไม่  ตอบไม่ได้  มีทางเลือกอยู่ 2 แนวทาง
--- ทางที่ 1 : สอบถามพระเบื้องบน...ขอ  พระฯท่านเมตตาสงเคราะห์  แล้วคุณจะรู้ว่านั่งเทียนเขียนแท้ๆ
--- ทางที่ 2: หาข้อมูล เรื่อง สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งเป็นพระสังฆราชองค์ที่ 13 ว่าทรงตรัสเล่า มีความน่าเชื่อถือม๊ยที่เซียนตำรานำพระองค์ท่านมาอ้าง?
--- สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เกิด พ.ศ.2415  --- แน่ใจนะว่าเกิด พ.ศ. นี้ท่านจะรู้เห็นเหตุการณ์ในขณะที่ สมเด็จฯกรมพระยาปวเรศฯท่านสร้าง ตั้งแต่ในสมัย ร.4 - ร.5 จนถึงปีพ.ศ.2435
--- และใน พ.ศ.2435 สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์อายุ 20 ปี พึ่งจะบวชเป็นพระสงฆ์ปีแรก  ข้อมูลที่เซียนตำราจับแพะชนแกะน่าเชื่อถือหรือไม่  ท่านผู้อ่านลองพิจารณาด้วยเหตุผลข้างต้นที่ผู้เขียนได้เขียนนำมาพิจารณาว่าเชื่อถือได้หรือไม่

ประเด็นต่อมาที่เซียนตำรามักชอบอ้าง เรื่องช่วงระยะเวลา พ.ศ.ไหนที่มีการสร้างพระกริ่งปวเรศ

ผู้เขียนขอสรุปเป็นแนวทางได้ 2 แนวทาง

--- แนวทางที่ 1 ขอพระท่านฯ เมตตาสงเคราะห์ครับว่าพระกริ่งปเวศที่มีอยู่จริงแท้หรือไม่ และสร้างในยุคสมัยใด
--- แนวทางที่ 2 ศึกษาพระราชพิธีของราชสำนัก และบุคคลสำคัญชั้นสูงในสมัยนั้นๆของปีเกี่ยวข้องอะไรกับพระกริ่งปวเรศ  ของไม่ยากครับ หลักฐานอ้างอิงฯ มีครบถ้วน ที่สำคัญคุณจะหาพบหรือไม่?

--- ประเด็นที่ 3 มีเซียนตำราเล่มหนึ่งชื่อภาษาประกิจขึ้นต้นด้วยตัว T มี 4 คำ กล่าวถึงเรื่องแผ่นปิดก้นพระกริ่งปวเรศว่าควรจะมีเนื้อโลหะอะไรบ้าง


ผู้เขียนขอสรุปสั้นๆดังนี้  
     คนที่มัวแต่อ่านตำราไม่เปิดใจกว้างรับ  เห็นของแท้ยังไม่ทันพิจารณาก็ตีเป็นเก๊  แล้วเมื่อไหร่ถึงจะรู้ว่าของแท้ๆเป็นเช่นไร
     สรุปให้เป็นวิทยาทานว่าก้นปิดฐานพระกริ่งปวเรศ ประกอบด้วย 
   1. เนื้อทองคำ  
   2.เนื้อเงิน  
   3.เนื้อสัมฤทธิ์ประกอบด้วย 3 ชนิด 
      3.1 ชนิดที่ 1 สัมฤทธิ์วรรณะสีผิวแดง-อ่อน  
      3.2 สัมฤทธิ์ชนิดที่ 2 วรรณะสีขาว หรือสีเงินโบราณ   
      3.3 สัมฤทธิ์ หรือ นวโลหะชนิดที่ 3 มีวรรณสีเหลือง(แต่สัมฤทธิ์ชนิดที่ 3 นี้จะไม่นำมาทำเป็นแผ่นปิดก้นพระกริ่งฯ) 
      3.4. แผ่นทองเหลือง(ทองฝาบาตร)


--- ประเด็นที่ 4 รื่องชนวนโลหะจากการซ่อมฐานพระพุทธชินสีห์ พระประธานของวัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าเดิมอ้างไปโน้น 2409 มั่วแบบคิดไปเองทั้งสิ้น


--- หลักฐานมีปรากฏทั้งที่จริงแล้ว ร.4 เมื่อ พ.ศ.2397 ได้โปรดให้หล่อฐานด้วยทองสัมฤทธิ์ ปิดทองใหม่ทั้งองค์พระและฐาน แล้วให้มีการสมโภช 5 วัน  ดังนั้นเนื้อโลหะที่ตัดจากฐานพระพุทธชินสีห์จะต้องตัดก่อนปี พ.ศ.2397  ซึ่งพบว่าพระกริ่งฯที่มีส่วนผสมของฐานพระพุทธชินสีห์สร้างในวาระ พ.ศ.2392 แสดงให้ทราบว่าได้มีการสร้างตบแต่งฐานพระพุทธชินสีห์ไม่น้อยกว่า 5 ปี


ผู้เขียนขอสรุปเหมือนเดิมด้วย 2 แนวทาง
แนวทางที่ 1 สอบถามขอพระฯท่าน เมตตาสงเคราะห์  แล้วท่านจะได้ข้อสรุปว่า พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 พ.ศ.2404 นั้นมีชนวนโลหะจากการซ่อมฐานพระพุทธชินสีห์จริง ซึ่งเป็นชนวนโลหะหล่อพระกริ่งฯในปี พ.ศ.2392 นำมาหล่ออีกครั้งหนึ่ง


แนวทางที่ 2 บันทึกประวัติศาสตร์มีครับ ค้นยังไงก็มีเกี่ยวกับหลักฐานที่ ร.4 ทรงซ่อมแซม ฯ


--- ประเด็นที่ 5 อ้างพระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 องค์ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์วัดบวรนิเวศวิหาร คนที่เขียนอ้างไม่มีตำราเล่มไหนฟันธงว่าสร้างใน พ.ศ.2416 วาระอะไร  มีแต่คาดว่าเป็น พ.ศ.2416  จึงมีความรู้เพียงเท่านั้นได้แต่พยายามหาพระกริ่งฯที่มีหน้าตาเหมือนกับองค์ที่อยู่ในเก๋งจีนอ้างอิง  จึงทำให้พระกริ่งฯที่อธิฐานจิตโดยสมเด็จฯกรมพระยาปวเรศฯนั้นถูกตีเป็นพระเก๊ปลอมเรียนแบบมาหลายสิบปี  มีหลายองค์ในหนังสือหลายๆเล่มหน้าตาไม่เหมือนกันแต่อาศัยการอ้างฯว่าพระกริ่งฯองค์นั้นๆอยู่ในครอบครองของชนชั้นสูงในอดีต  ผู้เขียนมองแล้วบางองค์ได้แต่เก็บความขำไว้ลึกในใจ


--- ประเด็จที่ 6 เรื่องโลหะธาตุที่หล่อสำเร็จเป็นองค์พระกริ่งฯ  ยังไม่มีใครสามารถแยกได้ว่า องค์ไหนเรียกว่าเนื้ออะไร  ที่อ้างว่าเป็นสัมฤทธิ์มีกี่ชนิด  อ้างได้ด้วยวิธีอ้างตามตำราโบราณ  อันที่จริงแล้วเนื้อโลหะธาตุวรรณะสีผิวขององค์พระกริ่งฯ มีดังนี้

1. เนื้อทองคำ
2. เนื้อเงิน  
3. เนื้อสัมฤทธิ์ประกอบด้วย 3 ชนิด 
     สัมฤทธิ์ชนิดที่ 1 สัมฤทธิ์วรรณะสีผิวแดง-อ่อน  
     สัมฤทธิ์ชนิดที่ 2 วรรณะสีขาว หรือสีเงินโบราณ   
     สัมฤทธิ์ หรือ นวโลหะชนิดที่ 3 มีวรรณสีเหลือง
     เนื้อสัมฤทธิ์หรือนวโลหะ ทั้ง 3 ชนิดเมื่อผ่านเวลาไปช่วงหนึ่งจะกลับดำ ซึ่งสีผิววรรณะที่กลับดำก็จะแตกต่างกันตามชนิดของนวโลหะ