วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

156. พระสมเด็จ(พลังพุทธานุภาพไร้ขีดจำกัด)

กล่าวถึงพระ...เนื้อผง

       ผู้เขียนได้พยายามเสาะแสวงหาว่าพิมพ์ใดมีพลังพุทธานุภาพแรงที่สุด  พระสมเด็ยเนื้อผงหลากหลายพิมพ์ หลากหลาย ปี พ.ศ. ที่พบส่วนใหญ่มีพลัง...ความแรง 1 เท่า และพระสมเด็จเนื้อผงที่มีพลัง...ความแรงยิ่งมากเท่าใด  จะพบเห็นได้น้อยมากขึ้นตามระดับของความแรง  และที่พบสูงสุดมีความแรงของพลังพุทธานุภาพไม่เกิน 255 เท่า(เปรียบเทียบกับพระสมเด็จสี่เหลี่ยมชิ้นงฝักทั่วๆไปที่อธิษฐานจิตโดยสมเด็จฯโต วัดระฆัง) ผู้เขียนมั่นใจว่ายังมีพระเนื้อผงที่แรงกว่านี้

       ล่าสุดผู้เขียนได้พบพิมพ์สมเด็จสี่เหลี่ยมมีขนาดใหญ่กว่าพระสมเด็จทั่วๆไป 1 เท่า(เท่ากับพระสมเด็จ 2 องค์)  จัดได้ว่าเป็น "พระสมเด็จพิมพ์พิเศษ" มีพลังพุทธานุภาพ "ไร้ขีดจำกัด"  จึงได้นำมาให้ผู้ที่สนใจหรือมีไว้ครอบครองได้รับทราบ

       เป็นพระเนื้อผง...ที่ผู้เขียนให้เป็น "สุดยอดของพระสมเด็จ" ที่อธิษฐานจิตโดยสมเด็จพุฒจารย์โต พรหมรังสี (สมเด็จฯโต) แห่งวัดระฆัง ในวาระ ปี พ.ศ. 2410

1561001 ด้านหน้า รูปเหมือนปูโต มือถือบาตร  ด้านล่างมีอักษร ร.ศ 86

1561002 ด้านหลัง จารด้วยลายมือ  ค้าชาย  ร่ำรวย  มั่งคั่ง

พระพิมพ์นี้ที่พบได้นำ  แม่พิมพ์ปี ร.ศ.86 มาปั้มองค์พระใหม่ในปี 2452-2453 ด้านหลังจะเป็นรูป ร.5 , ฯลฯ  และผู้เขียนได้พบมีของปลอมที่คล้ายๆกัน


เพิ่มเติมบทความวันที่ 25 ธันวาคม 2554 
พระพิมพ์รูปเหมือนพระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัยเรียกว่า การเข้า "ฌาน" เพื่อให้บรรลุ "ญาณ" จนเวลาผ่านไปจนถึง ... ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุสติญาณ " คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่นยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ " คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ยามสาม : ทรงบรรลุ "อาสวักขยญาณ" คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจ ๔ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 




ที่ใบโพธิ์มีทับทิม (Ruby) 10 เม็ด หรือ มณี ,รัตนราช,ปัทมราช เป็นรัตนชาติชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในตระกูลคอรันดัม(Corundum) มีความแข็งรองจากเพชร เป็นที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับมีสีสวยและมีความแข็งแกร่งเปล่งประกายจับตา เป็นที่นิยมมากกว่าอัญมณีสีแดงชนิดอื่นๆ มนุษย์รู้จักทับทิมมานาน กษัตริย์มักนำมาประดับมงกุฏและสวมใส่ขณะออกรบ ทับทิมในภาษาสันสกฤตโบราณคือ "ratanraj" หมายถึงเจ้าแห่งอัญมณีทั้งปวง ทับทิมถูกขนานนามว่าอัญมณีแห่งราชา ในประเทศไทยถือว่าทับทิมเป็นอัญมณีหนึ่งในนพรัตน์



โดยธรรมชาติทับทิมมักมีเนื้อขุ่น ตำหนิมากบางชิ้นทึบแสงดูไม่สวยงาม  ทับทิมในท้องตลาดส่วนใหญ่ผ่านการ เพิ่มคุณภาพด้วยความร้อนมาแทบทั้งสิ้น สีที่นับว่าหายากและราคาแพงมหาศาลคือ สีแดงสดแบบเลือดนกพิราบเนื้อใสสะอาดสมบูรณ์แบบทั้งสัดส่วนและประกายขนาด 3-4กะรัตอาจจะมีราคาสูงกว่า 7 หลัก ถ้าสูงกะรัตกว่านี้จะหายากมากๆราคาอาจถึง 8หลักเลยทีเดียว สีแดงอมชมพูก็เป็นที่นิยมอย่างมาก ส่วนใหญ่มาจากพม่า มีราคาสูงมาก นอกจากนั้นทับทิมยังมีการเกิดปรากฏการณ์สตาร์ มีลักษณะสาแหรกดาว 6 แฉกอยู่กลางพลอย ชนิดนี้มีราคาสูงจะเจียระไนทรงหลังเต่า



ความหมายของทับทิม 10 เม็ด เป็นการบ่งบอกถึงสมเด็จโตบรรลุธรรมละสังโยชน์ 10 ข้อได้เป็นพระอรหันต์

สังโยชน์ คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี 10 อย่าง คือ

  • ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้แก่
    • 1. สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา มีความยึดมั่นถือมั่นในระดับหนึ่ง
    • 2. วิจิกิจฉา - มีความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    • 3. สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น ซึ่งรวมถึงการหมดความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย
    • 4. กามราคะ - มีความติดใจในกามคุณ
    • 5. ปฏิฆะ - มีความกระทบกระทั่งในใจ
  • ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง 5 ได้แก่
    • 6. รูปราคะ - มีความติดใจในวัตถุหรือรูปฌาน
    • 7. อรูปราคะ - มีความติดใจในอรูปฌานหรือความพอใจในนามธรรมทั้งหลาย

 1561003 ด้านหน้าพระพิมพ์พิเศษ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่ใต้ต้นพระศรี และสมเด็จโตบรรลุธรรมละสังโยชน์ 10 ข้อ  เป็นพระเครื่องที่มีพลังพุทธานุภาพไร้ขีดจำกัด

พระพิมพ์ ด้านหน้ามีรูปเหมือนสมเด็จโต วัดระฆัง


155. พระสมเด็จจิตรดา(พิมพ์พิเศษ)

พระสมเด็จสามเหลี่ยมที่เรียกกัน "สมเด็จจิตรดา" ที่สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดชฯ พระเจ้าอยู่หัว (ร.9) ทรงออกแบบพระสมเด็จจิตรลดาด้วยพระองค์เอง โดยศาสตราจารย์ ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ข้าราชการบำนาญกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร แห่ง มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เป็นข้าฯใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทในงานด้านประติมากรรมเป็นผู้แกะแม่พิมพ์ถวาย ดังที่ทราบกันตามข้อมูลต่างๆที่เราๆ ท่านๆทราบ ทั้งจากหนังสือและเว็ปฯต่างๆที่เกี่ยวข้อง


ลิงก์ (1)....(คลิก)
ลิงก์...(2)....(คลิก)


พระเครื่องที่แตกกรุออกมาจากวัดพระแก้ว(วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อครั้งบูรณะเตรียมฉลองฯ 200 ปี)  มีพระเครื่อง...หลายๆองค์มีพิมพ์ทรงแต่เนื้อหาขององค์พระคล้ายกับ พระ "สมเด็จจิตรดา" มาก

เมื่อประมาณเกือบ 30 ปีที่ผ่านมาผู้เขียนยังไม่ทราบลึกซึ่งทำให้เข้าใจว่าวงการตลาดพระเครื่องทั้งหมดปลอมเรียนแบบ พระ "สมเด็จจิตรดา"

ในภายหลัึง  ผู้เขียนได้ศึกษาพระพิมพ์ "สมเด็จจิตรดา" ที่เข้าใจในครั้งก่อนเป็นของปลอมอีกครั้งหนึ่ง  ทำให้ทราบว่า  มีพระเรียนแบบพระพิมพ์ของ "สมเด็จจิตรดา" ที่เรียนแบบทั้งพิมพ์ทรง และมวลสารพระให้คล้ายหรือใกล้เคียงมีมากมายจริงๆ  ที่สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดชฯ พระเจ้าอยู่หัว (ร.9) ทรงออกแบบพระสมเด็จจิตรลดาด้วยพระองค์เอง

ผู้ที่ได้รับพระราชทาน พระ "สมเด็จจิตรดา"  จะมีใบพระราชทาน (ใบกำกับพระพิมพ์) บุคคลทั่วๆไปจะทราบเพียงว่ามีใบกำกับพระพิมพ์  ซึ่งจะระบุ ลำดับ วัน เดือน ปี ที่ได้รับ ขนาดกว้างประมาณ 12.7 ซม. ยาว 15.8 ซม. เป็นเอกสารส่วนพระองค์ เอกสารสำคัญฉบับนี้ เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังจะแจ้งให้มารับภายหลังจากวันที่ได้รับพระราชทาน องค์พระ โดยไม่มีหมายกำหนดที่แน่นอน  ผู้ที่สะสมในพระพิมพ์นี้ต่างกล่าวกันว่า ใบกำกับพระพิมพ์ มีของปลอม ๆ อย่างไร  "ปลอมเหมือนกันสองใบ" หรือ "หลายๆใบ" โดยมีต้นแบบของจริงอยูใบหนึ่ง  เพราะใบกำกับพระพิมพ์แบบนี้ปลอมกันง่าย

ใบกำกับพระพิมพ์อีกแบบหนึ่งที่เขียนโดย "ลายพระหัตถ์" (ลายมือ) ของ ร.9 จะได้รับพระราชทานพร้อมกับองค์พระในเวลาเดียวกัน เป็นกระดาษชนิดพิเศษที่ไม่มีขายในเมืองไทย  โรงพิมพ์หรือคนสามัญทั่วๆไปไม่สามารถหาซื้อกระดาษชนิดนี้ได้ง่ายๆ  ปากกาที่ใช้เขียนเป็นปากกาคอแร้ง  ถึงแม้นจะมีอายุของหมึกผ่านมาประมาณ 50 ปี  มองด้วยตาปล่าวหรือใช้กล้องส่องขยายพบว่าน้ำหมึกเป็นน้ำหมึกชนิดพิเศษ  แรงกดในการเขียนตัวหนังสือทะลุเป็นเส้นสายไปตามลายพระหัตถ์ ไม่เห็นมีเซี้ยนและเซียนตำรา หรือ ร้านขายพระ "สมเด็จจิตรดา" โชร์ให้เห็นกันบ้างเลย  เพื่อเป็นบุญตาสักกะรายเดียว

ประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา  ผู้เขียนได้พบพระพิมพ์ "สมเด็จจิตรดา" จากผู้ที่ได้ครอบครองได้รับมากับมือตนเองในตระกูลเดียวครั้งแรก 3 องค์  และภายหลังยังพบในตระกูลอื่นๆอีก  ทำให้ทราบว่าของจริงที่ตำราเขาว่ายังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกพอสมควรที่เซี้ยนและเซียนตำราเขา(ไม่รู้) หรือ อาจจะไม่ต้องการให้คนวงนอกรู้ก็เป็นไปได้

ภายหลังผู้เขียนได้ศึกษาพบ  พระพิมพ์คล้ายกับ พระพิมพ์ "สมเด็จจิตรดา"  ที่สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดชฯ พระเจ้าอยู่หัว (ร.9) ทรงออกแบบพระสมเด็จจิตรลดาด้วยพระองค์เอง  ทำให้ทราบว่าพระพิมพ์นี้มีมาแต่เก่าก่อนตั้งแต่สมัย ร.4   ที่เซี้ยนและเซียนตำราในวงการพระเมืองไทยไม่ยอมรับว่าพระเครื่องฝีมือช่างสิบหมู่เมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา  แต่ให้พระพิมพ์ที่คล้าย พระ "สมเด็จจิตรดา" ดังกล่าว เป็นพระเรียนแบบของ ร.9


พระสายวังเมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา  ยังมีของปลอมทำเรียนแบบอีกมากมายหลากหลายพิมพ์ จากของจริงที่มีพุทธนุภาพความแรงแตกต่างกัน เนื่องจา่กการอธิษฐานจิตปลุกเสกต่างวาระ

ผู้เขียนขอกล่าว สรุป สั้นๆว่า  ถ้าไม่มีพระของวังที่เป็นของจริงเมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา  และมีพุทธานุภาพดีจริง ที่สร้างเพื่อบูชาพระรัตนไตร  ใคร...จะมาปลอมเรียนแบบทรงพิมพ์ทั้งเนื้อหามวลสารเหมือนกันกับพระของวังเมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา  


ของจริงมีเท่าไร  กลุ่มที่เข้าถึงพระเบื้องบน...ต่างแย่งกันเก็บ...เมื่อของจริงหมด  ย่อมมีของปลอมระบาด


ผู้เขียนมั่นใจว่า พระ "สมเด็จจิตรดา" ที่สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดชฯ พระเจ้าอยู่หัว (ร.9) สร้างก่อนพระเครื่องที่อยู่ในวัดพระแก้ว...จะแตกกรุออกมา  จะต้องมีพระเครื่องเมื่อ 100 กว่าปีอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์(ในวัง) จำนวนมากมายชนิดที่เซี้ยนและเซียนไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนในชีวิตอีกมากต่อมาก

พระเครื่ององค์นี้เป็นพระเครื่องที่สร้างโดยฝีมือช่างสิบหมู่เมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา  ซึ่งมีส่วนคล้ายกับพระสมเด็จพิมพ์จิตรดา องค์นี้เป็นพระเนื้อผงบุทองคำ  ด้านหลังประทับตาพระครุฑ เป็นสัญลักษณะของวังหลวงในสมัยรัชกาลที่ 4 ใน พ.ศ. 2401



หากเป็นพระแท้บุทองคำพบเห็นที่ใดราคาไม่สูงมากนัก ผู้เขียนแนะนำให้เก็บไว้บูชา

ความแรงของพุทธคุณ 150 X (เท่า) อธิษฐานโดยสมเด็จฯโต (วัดระฆัง)  พระ...พิมพ์นี้มีหลากหลายเนื้อด้วยกันและมีการปลอมเรียนแบบในตลาดค่อนข้างมาก

154. หล่อพระกริ่งปวเรศ 19-พย-2554



ภาพข่าวในพระราชสำนัก
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเททองหล่อพระกริ่งปวเรศ
วันนี้ เวลา 13.56 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง
จากวังสระปทุม ไปทรงหล่อพระกริ่งปวเรศ ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
---สรุปเนื้อหาข่าวย่อ---
- สำหรับพระกริ่งปวเรศเป็นพระที่สร้างขึ้นโดยฝีมือช่างสิบหมู่ หรือ ช่างหลวง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2382 จนถึงปี พ.ศ.2434 
- มีพุทธลักษณะเป็นปางหมอยา และเนื่องจากใช้เนื้อโลหะเป็นวัสดุในการสร้าง เมื่อเขย่าจะมีเสียงดัง จึงเป็นที่มาของชื่อพระกริ่ง 
- เรียกตามพระนามของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีพระนามในหมู่คนใกล้ชิดว่า พระบาทสมเด็จพระปวเรศ 
- โดยผู้เลี่ยมศรัทธาเชื่อว่ามีพุทธานุภาพทำให้หายจากความเจ็บป่วย และป้องกันภัยอันตรายต่างๆ  
- ทำให้เกิดความนิยมสร้างพระพุทธปฏิมาในลักษณะพระกริ่งในเวลาต่อมาอย่างแพ่รหลาย  
- และเป็นต้นแบบในการสร้างพระกริ่งในยุคต่อมาของประเทศไทย
Last Update:2011-11-19






วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

153. ข่าวและกิจกรรมวันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2554

ข่าวและกิจกรรม

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2554 เวลา 9.00 ถึง 10.00 น.  พระเบื้องบนให้สงเคราะห์ เป่ายันต์เกราะเพชรให้กับผู้ที่ศรัทธา  และต้องการรับยันต์เกราะเพชร


วันนี้วันที่ 28 - 11 - 2554

-  พิธีกล่าวอัญเชิญพระเบื้องบน...สงเคราะห์ เป่ายันต์เกาะเพชร...ฯลฯ
***พระ....(เบื้องบนมา) มากกว่า   100,000 องค์
***พระ....(เบื้องบนมา) มากกว่า   500,000 องค์
***ฯลฯ
- ประมาณเวลา 9.06 น. พระเบื้องบนเริ่มเป่ายันต์เกาะเพชร 
- สิ่งที่รับรู้เมื่อพระเบื้องบนเริ่มเป่ายันต์เกาะเพชร ได้มีสายลมเย็นพัดเข้ามาเป็นระยะๆ
- มีพลังวิ่งเข้ามาหาตัว ประมาณ 10 นาที
- พลังเริ่มวิ่งเข้ามาทางกระหม่อม  มีอาการหนักๆนิดหน่อย  เมื่อพลังหยุด คือ ผู้ได้รับการเป่ายันต์เกาะเพชรได้รับเรียบร้อยสมบูรณ์
- พระเบื้องบนที่เสด็จมา...เสด็จกลับเวลา 10.01 น.

ยินดีกับทุกท่านที่เชื่อ ศรัทธาและได้รับพระเมตตาสงเคราะห์การเป่ายันต์เกาะเพชรในพิธีวันนี้
ขอเจริญในธรรม สาธุ สาธุ สาธุ

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

152. มหาอุทกภัย พ.ศ.2554

น้ำท่วมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ เดือนสิงหาคมถึงปัจจุบันวันที่ 26 พฤศจิกายน 2554

เริ่มต้นค่อยๆท่วมจังหวัดนครสวรรค์ไล่ลงมาจนกระทั้งท่วมกรุงเทพมหานครไปหลายเขต ได้รับการกล่าวเป็น มหาอุทกภัย พ.ศ. 2554 และยังมีอีกหลายพื้นที่หลายจังหวัดน้ำจะลดและแห้ง  คงจะต้องไปว่ากันในปี พ.ศ. 2555

มีข่าวประโคมมาตามวาระๆ ว่าในปี พ.ศ.2555 จะมีน้ำท่วมหนักกว่าปี พ.ศ.2554 หรือที่มีสำนักต่างๆพยากรมากมายว่าเป็น ปี ภัยพิบัติ ค.ศ.2012   จะจริงเท็จอย่างไร  ผู้เขียนขอกล่าวว่าอย่าประมาท ผู้เขียนได้เขียนเรื่องเหล่านี้ไว้ในกระทู้ก่อนหน้า  ........(คลิก)...71 ภัยพิบัติกับพุทธานุภาพของพระกริ่งปวเรศและพระเครื่องของสายวัง

จากข้อมูลเดิมที่เคยสอบถามพระเบื้องบน...เกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติในปีนี้ที่เรียกว่า มหาอุทกภัย พ.ศ.2554 นี้  เป็นการเตือนระดับ "ทดลองงาน" เท่านั้น  ให้แต่ละฝ่ายแต่ละบุคคลได้เข้าใจถึง  ภัยพิบัติในอนาคตที่พระเบื้องบนได้ปัด...  มีความรุนแรงกว่านี้มากนัก  ผลของมหาอุทกภัยครั้งนี้ทำให้หลายต่อหลายท่าน  รู้จักวิธีวางแผนและการเอาตัวลอดในยามเกิดภัยพิบัติ

และท่านสามารถย้อยกลับไปอ่านใน กระทู้ที่ 135 ภัยพิบัติจากพระเบื้องบน ---(คลิก)---http://dr-natachai.blogspot.com/2011/09/135.html
  
หากชอบข้อมูลของสำนักต่างๆเขียนขี้นมาแล้วอ่านได้ความมัน ---คลิก---มหาอุทกภัย ท่วมโลก 2012


*** วัตถุมงคลสายวังในอดีตที่สร้างมีไว้ช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ไม่ถึงคราวตาย ช่วยจากหนักเป็นเบา  จากเบาเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
*** ถ้าหากถึงที่ตายนอนอยู่บ้านก็ตาย พระ...ไม่สงเคราะห์   จะสงเคราะห์ไม่เกินกว่ากรรม
*** วัดวาอารามฯที่มีวัตถุมงคลดี มากมาย ต่างได้รับอุทกภัยในปี พ.ศ.2554   เพราะว่าวัดวาอารามฯต่างๆเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิต  เมื่อมีเกิดขึ้น  รุ่งเรือง  แล้วก็เสื่อมไปตามกาลเวลา

น้ำท่วมครั้งนี้บ้านของผู้เขียนอยู่เขตดินแดง กทม. เป็นเขตกันชนของน้ำพอดี  ด้านข้างบ้านห่างไปไม่เกิน 100 เมตร  มีประตูน้ำห้วยขวาง  ซึ่งมีเครื่องปั้มน้ำคอยดันน้ำทำให้น้ำไม่ล้นขอบคันคูระบายน้ำ  และถ้าหากล้นออกมาก็ยังมีท่ออุโมงยักษ์อยู่กลางถนน(ซอย) รอรับถูกดูดเข้าไปในระบบอุโมงค์  ดังนั้นมีหลายๆท่านทุกภาคของประเทศได้โทรฯมาสอบถาม  ต้องกล่าวขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้อย่างสูงที่มีมิตรจิตมิตรใจเป็นห่วงผู้เขียนมาในวาระนี้

ช่วงน้ำท่วมกรุงเทพฯประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา  ผู้เขียนได้ปลีกวิเวกไปอยู่จังหวัดลำปาง  ได้พบได้ทราบหลากหลายเรื่อง  ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องปัจจัตตังทั้งสิ้น  มีเรื่องหนึ่งที่พอจะกล่าวให้ได้ฟังเรื่องสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ พ.ศ.2407 - 2408 ที่อธิฐานจิตโดยปู่โต  มีคำกล่าวเพิ่มมาอีกประโยคหนึ่งว่า "ของดีเน้อ"