รูปที่ 1 บริเวณวงกลมสีแดง เนื้อโลหะไม่เต็ม ภายในกรอบเส้นสีเหลืองจะเห็นเบ้าประกบได้ชัดเจน บางองค์ช่างฯได้ทำการเการอยประกบออก (คลิ๊กรูป ขยายรูปใหญ่)
รูปที่ 2 ภายในกรอบเส้นสีเหลืองจะเห็นเบ้าประกบ ภายในกรอบสีชมพูจะเห็นลักษณะการหดตัวของโลหะที่พบในพระกริ่งฯหลายๆองค์ ในกรอบสีขาวเนื้อโลหะหดตัวทำให้โลหะแยกตัวฉีกขาดออกจากกัน (คลิ๊กรูป ขยายรูปใหญ่)
รูปที่ 3 โลหะที่เทในเบ้าประกบมีตำนิเกิดขึ้นมากบ้างน้อยบ้างดังเช่นในวงกลมสีแดง (คลิ๊กรูป ขยายรูปใหญ่)
รูปที่ 4 วงกลมสีแดงเล็ก เป็นตำนิที่เกิดจากการหล่อโลหะด้วยการไล่อากาศ ในวงกลมสีแดงใหญ่นั้นเป็นเอกลักษณะของพระกริ่งฯพิมพ์นี้ที่หล่อแล้วเป็นดังเช่นในวงกลม คือ ผิวโลหะจะไม่ตึง เกิดขึ้นจากธรรมชาติของแบบแม่พิมพ์ (คลิ๊กรูป ขยายรูปใหญ่)
รูปที่ 5 ภายในกรอบเส้นสีเหลืองร่องรอยของเบ้าที่ประกบหลุดออกกินเข้าไปในเนื้อองค์พระกริ่งได้ชัดเจน ในวงกลมสีแดงเป็นตำนิที่เกิดขึ้นจากการหล่อ ในวงกลมสีเขียวเผยให้เห็นผิวของพระกริ่งฯ ที่ยังไม่ได้ผ่านการขัด (คลิกรูป ขยายรูปใหญ่)
รูปที่ 6 พระกริ่งฯองค์นี้ ช่างฯได้ทิ้งร่องรอยการขัดให้เห็นได้อย่างเด่นชัด (คลิกรูป ขยายรูปใหญ่)
รูป 6.1 ลูกศรสีเขียวชี้ให้เห็นถึงร่องรอยการขัดขององค์พระกริ่งฯ วงกลมสีแดงเป็นตำนิที่เกิดจากการหล่อ(ลึกมาก) ช่างฯตบแต่งจึงปล่อยเอาไว้ให้เห็นร่องรอยตำนิ องค์พระกริ่งฯที่ผ่านการขัดถูบริเวณที่ได้รับการขัดแต่งจะมีผิวที่เรียบกลมกลืนดั่งผิวเหล็กปัดเงา สวยงามมากจนเซียนตาไม่ถึงตีเป็นพระกริ่งปวเรศปลอม (คลิกรูป ขยายรูปใหญ่)
รูปที่ 7 ภายในกรอบเส้นสีเหลืองเผยให้เห็นร่องรอยของเบ้าประกบหลุดออกกินเข้าไปในเนื้อองค์พระกริ่งฯ วงกลมสีแดงเป็นตำนิที่เกิดจากการหล่อ ในวงกลมสีเขียวเป็นเป็นการออกแบบเมล็ดงาหรือหยดน้ำที่งดงาม เมล็ดงาที่เห็นนี้เป็นการใช้แท่นกดตอกลงไปในเนื้อโลหะ โดยการสร้างบล๊อกบังคับให้องค์พระกริ่งฯทุกๆองค์อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน นับว่าเป็นความฉลาดของช่างฯในสมัยโบราณที่คิดวิธีนี้ขึ้นมาใช้ทำโค๊ด(คลิ๊กรูป ขยายรูปใหญ่)