วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

69.อ้างลอกกันไปลอกกันมา...ฮา

อ้างลอกกันไปลอกกันมา...ฮาครับ กับบุคคลที่ชอบทำตัวเป็นเซียนใหญ่


ผู้เเขียนขอยกเป็นกรณีศึกษา  เพื่อที่คนรุ่นใหม่จะได้ทราบและไม่โง่ที่จะถูกตำราที่เซียน...อ้างกันไปอ้างกันมา...ข้อมูลที่อ้างมีเกินครึ่งที่คิดไปเอง


หนังสือพระหลายต่อหลายเล่มพยามลอกเรียนแบบข้อมูลเรื่อง พระกริ่งปวเรศ วัดบวรนิเวศวิหาร อ้างองค์ครู  กระทู้ที่ 69 นี้  ผู้เขียนจะนำข้อเท็จจริงมาให้ทราบว่าในอดีตตำรา...หลายๆเล่มจนถึงปัจจุบัน นิยม อ้างและลอกอะไรมาคุย เพื่อขายหนังสือกันบ้าง


เรื่องที่ 1
พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 หมายถึง พระกริ่งปวเรศ รุ่น แรก ของวัดบวรนิเวศวิหารที่สร้างโดย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ลอกข้อมูลต่อๆกันด้วยการอ้าง สร้างเป็นการส่วนพระองค์ "...มีจำนวนน้อยไม่เกิน 30 องค์..."


     ใส่ข้อมูลตีไข่เสริมแบบลอกกันมาอีกว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ จัดสร้างส่วนพระองค์ เพื่อถวายให้กับรัชกาลที่ 5 และเจ้านายเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงกับขุนนางใกล้ชิด โดยประกอบพิธีที่วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นการสร้างเพื่อถวายพระมหากษัตริย์และบุคคลสำคัญทำให้มีการสร้างจำกัด 
     พร้อมทั้งอ้าง สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งเป็นพระสังฆราชองค์ที่ 13 ว่าทรงตรัสเล่าไว้ในตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร  เพื่อสร้างภาพให้ผู้อ่านหรือผู้ศึกษาหลงเข้าใจประเด็นตามที่ผู้อ้างอิงเสนอ


ผู้เขียนขอสรุปเรื่องที่ 1 ดังนี้
...พระกริ่งฯนั้นไม่ใช่จะสร้างกันได้ง่ายๆอย่างที่เซียนตำราคิด...เริ่มตั้งแต่สร้างหุ่น  ทำเบ้าหล่อ  รวบรวมมวลสารโลหะธาตุต่างๆ กระขบวนการหล่อ  ตบแต่ง  พุทธาภิเศก  แม้นกระทั้งตอกโค๊ดเมล็ดงา ถามจริงเซียนตำรา...สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงตอกโค๊ตด้วยใช่ม๊๊ยกันปลอม..ฮา
...สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ท่านเป็นพระผู้ใหญ่และเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง  ลองพิจารณาดูนะครับว่าท่านจะว่างมาสร้างพระกริ่งด้วยตนเองแจกจริงหรือ?


ผู้เขียนขอเอารูปในยุคนี้ให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษา ทำความเข้าใจคำว่า "สร้าง" ที่เซียนตำราหลงประเด็น หาทางกลับบ้านไม่ถูก เกิดจากลอกกันไปลอกกันมา  เพราะไม่เข้าใจคำว่า "สร้าง" จึงหาทางลงไม่ได้จึงมั่วคิดไปเอา


รูปที่ 1  
หลวงปู่ทิมเททอง พระอาจารย์ทองเจือ และพระอาจารย์เชย เจ้าอาวาส วัดละหารไร่องค์ปัจจุบันช่วยจับสายสิญ จะเห็นกระบอกเบ้าพระกริ่งจำนวนมากเพราะพระทุกองค์เทในพิธี
หลวงปู่ทิมสร้างใช่หรือไม่? 
รูปที่ 2 แล้วรูปนี้หลวงปู่ทิมสร้างใช่หรือไม่? 

รูปที่ 3 หลวงพ่อคูณ เททองพระกริ่งวิทยาคม ปาฎิหาริย์พระอาทิตย์ทรงกลดต่อหน้าลูกศิษย์
เททอง - หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เป็นประธานเททองหล่อพระกริ่งเทพวิทยาคม ที่วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ใช้ฤกษ์เวลา 15.09 น. เมื่อวันที่ 17 ก.พ. มีบุคคลสำคัญร่วมพิธีจำนวนมาก
รูปที่ 3 หลวงพ่อคูณสร้างใช่หรือไม่?

รูปที่ 4 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเททองหล่อพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ปวเรศ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันศุกร์ที่ 27 ธ.ค.2528 เป็นปฐมมหามงคลฤกษ์ของพิธีเททองหล่อพระ ซึ่งสมเด็จพระญาณสังวรฯ ทรงเป็นประธานพิธีการเททองหล่อพระ ณ มณฑลพิธีวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
 รูปที่ 4 รูปนี้ใครสร้างครับเซียนตำรา...

รูปที่ 5 สมเด็จพระญาณสังวรฯ ทรงเป็นประธานพิธีการเททองหล่อพระ ณ มณฑลพิธีวัดบวรนิเวศวิหาร ...รูปนี้ใครสร้าง?
ภาพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อพระรูป
พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน
ณ กองบัญชาการกรมการทหารช่าง ค่ายภาณุรังษี อ.เมือง จ.ราชบุรี
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2531...ภาพนี้ใครสร้าง?

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทรงเททองหล่อพระอารยตารามหาโพธิสัตว์ และทรงเป็นประธานในพิธีมหาพุทธาภิเษกเหรียญพระอารยตารามหาโพธิสัตว์....ใครสร้าง?


 รูปภาพนี้ ใครสร้าง?




 สรุป เข้าใจคำว่า "สร้าง" หรือไม่ หมายถึง อะไร


ใครพูดไม่ใช่เรื่องใหญ่  ที่สำคัญคือ ข้อมูลนั้นจริงหรือไม่  ตอบไม่ได้  มีทางเลือกอยู่ 2 แนวทาง
--- ทางที่ 1 : สอบถามพระเบื้องบน...ขอ  พระฯท่านเมตตาสงเคราะห์  แล้วคุณจะรู้ว่านั่งเทียนเขียนแท้ๆ
--- ทางที่ 2: หาข้อมูล เรื่อง สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งเป็นพระสังฆราชองค์ที่ 13 ว่าทรงตรัสเล่า มีความน่าเชื่อถือม๊ยที่เซียนตำรานำพระองค์ท่านมาอ้าง?
--- สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เกิด พ.ศ.2415  --- แน่ใจนะว่าเกิด พ.ศ. นี้ท่านจะรู้เห็นเหตุการณ์ในขณะที่ สมเด็จฯกรมพระยาปวเรศฯท่านสร้าง ตั้งแต่ในสมัย ร.4 - ร.5 จนถึงปีพ.ศ.2435
--- และใน พ.ศ.2435 สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์อายุ 20 ปี พึ่งจะบวชเป็นพระสงฆ์ปีแรก  ข้อมูลที่เซียนตำราจับแพะชนแกะน่าเชื่อถือหรือไม่  ท่านผู้อ่านลองพิจารณาด้วยเหตุผลข้างต้นที่ผู้เขียนได้เขียนนำมาพิจารณาว่าเชื่อถือได้หรือไม่

ประเด็นต่อมาที่เซียนตำรามักชอบอ้าง เรื่องช่วงระยะเวลา พ.ศ.ไหนที่มีการสร้างพระกริ่งปวเรศ

ผู้เขียนขอสรุปเป็นแนวทางได้ 2 แนวทาง

--- แนวทางที่ 1 ขอพระท่านฯ เมตตาสงเคราะห์ครับว่าพระกริ่งปเวศที่มีอยู่จริงแท้หรือไม่ และสร้างในยุคสมัยใด
--- แนวทางที่ 2 ศึกษาพระราชพิธีของราชสำนัก และบุคคลสำคัญชั้นสูงในสมัยนั้นๆของปีเกี่ยวข้องอะไรกับพระกริ่งปวเรศ  ของไม่ยากครับ หลักฐานอ้างอิงฯ มีครบถ้วน ที่สำคัญคุณจะหาพบหรือไม่?

--- ประเด็นที่ 3 มีเซียนตำราเล่มหนึ่งชื่อภาษาประกิจขึ้นต้นด้วยตัว T มี 4 คำ กล่าวถึงเรื่องแผ่นปิดก้นพระกริ่งปวเรศว่าควรจะมีเนื้อโลหะอะไรบ้าง


ผู้เขียนขอสรุปสั้นๆดังนี้  
     คนที่มัวแต่อ่านตำราไม่เปิดใจกว้างรับ  เห็นของแท้ยังไม่ทันพิจารณาก็ตีเป็นเก๊  แล้วเมื่อไหร่ถึงจะรู้ว่าของแท้ๆเป็นเช่นไร
     สรุปให้เป็นวิทยาทานว่าก้นปิดฐานพระกริ่งปวเรศ ประกอบด้วย 
   1. เนื้อทองคำ  
   2.เนื้อเงิน  
   3.เนื้อสัมฤทธิ์ประกอบด้วย 3 ชนิด 
      3.1 ชนิดที่ 1 สัมฤทธิ์วรรณะสีผิวแดง-อ่อน  
      3.2 สัมฤทธิ์ชนิดที่ 2 วรรณะสีขาว หรือสีเงินโบราณ   
      3.3 สัมฤทธิ์ หรือ นวโลหะชนิดที่ 3 มีวรรณสีเหลือง(แต่สัมฤทธิ์ชนิดที่ 3 นี้จะไม่นำมาทำเป็นแผ่นปิดก้นพระกริ่งฯ) 
      3.4. แผ่นทองเหลือง(ทองฝาบาตร)


--- ประเด็นที่ 4 รื่องชนวนโลหะจากการซ่อมฐานพระพุทธชินสีห์ พระประธานของวัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าเดิมอ้างไปโน้น 2409 มั่วแบบคิดไปเองทั้งสิ้น


--- หลักฐานมีปรากฏทั้งที่จริงแล้ว ร.4 เมื่อ พ.ศ.2397 ได้โปรดให้หล่อฐานด้วยทองสัมฤทธิ์ ปิดทองใหม่ทั้งองค์พระและฐาน แล้วให้มีการสมโภช 5 วัน  ดังนั้นเนื้อโลหะที่ตัดจากฐานพระพุทธชินสีห์จะต้องตัดก่อนปี พ.ศ.2397  ซึ่งพบว่าพระกริ่งฯที่มีส่วนผสมของฐานพระพุทธชินสีห์สร้างในวาระ พ.ศ.2392 แสดงให้ทราบว่าได้มีการสร้างตบแต่งฐานพระพุทธชินสีห์ไม่น้อยกว่า 5 ปี


ผู้เขียนขอสรุปเหมือนเดิมด้วย 2 แนวทาง
แนวทางที่ 1 สอบถามขอพระฯท่าน เมตตาสงเคราะห์  แล้วท่านจะได้ข้อสรุปว่า พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 พ.ศ.2404 นั้นมีชนวนโลหะจากการซ่อมฐานพระพุทธชินสีห์จริง ซึ่งเป็นชนวนโลหะหล่อพระกริ่งฯในปี พ.ศ.2392 นำมาหล่ออีกครั้งหนึ่ง


แนวทางที่ 2 บันทึกประวัติศาสตร์มีครับ ค้นยังไงก็มีเกี่ยวกับหลักฐานที่ ร.4 ทรงซ่อมแซม ฯ


--- ประเด็นที่ 5 อ้างพระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 องค์ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์วัดบวรนิเวศวิหาร คนที่เขียนอ้างไม่มีตำราเล่มไหนฟันธงว่าสร้างใน พ.ศ.2416 วาระอะไร  มีแต่คาดว่าเป็น พ.ศ.2416  จึงมีความรู้เพียงเท่านั้นได้แต่พยายามหาพระกริ่งฯที่มีหน้าตาเหมือนกับองค์ที่อยู่ในเก๋งจีนอ้างอิง  จึงทำให้พระกริ่งฯที่อธิฐานจิตโดยสมเด็จฯกรมพระยาปวเรศฯนั้นถูกตีเป็นพระเก๊ปลอมเรียนแบบมาหลายสิบปี  มีหลายองค์ในหนังสือหลายๆเล่มหน้าตาไม่เหมือนกันแต่อาศัยการอ้างฯว่าพระกริ่งฯองค์นั้นๆอยู่ในครอบครองของชนชั้นสูงในอดีต  ผู้เขียนมองแล้วบางองค์ได้แต่เก็บความขำไว้ลึกในใจ


--- ประเด็จที่ 6 เรื่องโลหะธาตุที่หล่อสำเร็จเป็นองค์พระกริ่งฯ  ยังไม่มีใครสามารถแยกได้ว่า องค์ไหนเรียกว่าเนื้ออะไร  ที่อ้างว่าเป็นสัมฤทธิ์มีกี่ชนิด  อ้างได้ด้วยวิธีอ้างตามตำราโบราณ  อันที่จริงแล้วเนื้อโลหะธาตุวรรณะสีผิวขององค์พระกริ่งฯ มีดังนี้

1. เนื้อทองคำ
2. เนื้อเงิน  
3. เนื้อสัมฤทธิ์ประกอบด้วย 3 ชนิด 
     สัมฤทธิ์ชนิดที่ 1 สัมฤทธิ์วรรณะสีผิวแดง-อ่อน  
     สัมฤทธิ์ชนิดที่ 2 วรรณะสีขาว หรือสีเงินโบราณ   
     สัมฤทธิ์ หรือ นวโลหะชนิดที่ 3 มีวรรณสีเหลือง
     เนื้อสัมฤทธิ์หรือนวโลหะ ทั้ง 3 ชนิดเมื่อผ่านเวลาไปช่วงหนึ่งจะกลับดำ ซึ่งสีผิววรรณะที่กลับดำก็จะแตกต่างกันตามชนิดของนวโลหะ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

68. ต้นตำนานพระกริ่งปวเรศ พ.ศ.2404

พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 พ.ศ.2404

- องค์พระกริ่งเนื้อสัมฤทธิ์ขาว(สีเงินโบราณ) กลับดำ เนื้อสัมฤทธิ์ศักดิ์ โลหะธาตุที่นำมาผสมมีวรรณะสีผิวออกสีขาวหรือขาวจัด ลักษณะสีคล้ายสีเนื้อเงินโบราณ อายุผ่านมานับร้อยปีวรรณะสีผิวภายนอกกลับดำ
- ลงลักปิดทองอายุ 150 ปี(นับถึง พ.ศ.2554)
- โลหะบนเศียรพระ สีทอง เป็นโลหะธาตุวิเศษ
- โลหะธาตุวิเศษบนเศียรพระมีคุณวิเศษ ครอบจักรวาล มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ มีวรรณะสีเหลืองทอง หรือ เรียกว่าไหลทอง (เหล็กไหลสีทอง)
- พุทธคุณองค์พระครอบจักรวาล เป็นพระกริ่งปวเรศที่มีพุทธานุภาพยอดเยี่ยมรุ่นหนึ่ง
- อุดผงของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
- สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ร่วมอธิฐานจิต
- สร้างโดยช่างสิบหมู่หรือช่างหลวง 


วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

67. พระกริ่งปวเรศ เก๊ ปลอม ระบาด

พระกริ่งปวเรศเก๊
พระกริ่งปวเรศปลอม ระบาด โปรดระวัง

พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 พ.ศ.2434  

เนื้อนวโลหะ พิมพ์สมบูรณ์พูนสุข ณ. วันที่ 18 - 02 - 2554 ผู้เขียนได้พบพระกริ่งปวเรศฯ รุ่นดังกล่าว  ที่เพื่อนของผู้เขียนได้มาจากแผงพระในกรุงเทพฯ

เป็นพระกริ่งปวเรศ เก๊ ปลอม 
ถอดพิมพ์ได้เหมือน 99 %

เม็ดกริ่งไม่ใช่เหล็กไหล

ความคมชัดขององค์พระกริ่งแตกต่างจากองค์ของจริง

เนื้อเป็นเนื้อนวโลหะที่มีส่วนผสมใกล้เคียงกับของจริงแต่ขาดโลหะเนื้อทองคำและฯลฯ

ผิวองค์พระมีความตึงมาก

ผิวองค์พระยังขาดเรื่องความเก่าของอายุ  ที่พบเห็นเป็นผิวพระแบบพระใหม่

รอยย่นทำได้ใกล้เคียงของจริง

เมล็ดงาเป็นแบบหล่อไม่ใช้ตอก(สด)

ตำหนิโค๊ตลับมีแต่ไม่ใช่ตอกสดเป็นแบบหล่อ

ฯลฯ

สรุป เฉพาะที่ผู้เขียนเคยพบเห็น พระกริ่งปวเรศพิมพ์สมบูรณ์พูนสุข พ.ศ. 2434 เนื้อโลหะธาตุที่มีของเก๊ ปลอมสร้างเรียนแบบขึ้นมา ประกอบด้วย
1. เนื้อทองคำ
2. เนื้อนวโลหะ
3. เนื้อทองเหลือง(สร้างเพื่อให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเนื้อทองคำ) จากข้อมูลเพื่อนสมาชิกแจ้ง  พระกริ่งปเรศ รุ่น 1 ของแท้ผู้เขียนยังไม่เคยพบเนื้อทองเหลือง  ถ้าหากใครพบเนื้อทองเหลืองให้ระวังไว้ก่อนว่าผิดปกติ



พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 พ.ศ.2416  ที่พบเก๊ ปลอมเรียนแบบ

เมื่อวันที่ 23 - 02 - 2554 มีผู้สูงวัยอายุ 70 ปี  นำพระกริ่งฯมาให้ผู้เขียนดู

ผู้เขียนได้พบพระกริ่งปวเรศรุ่น 1 พ.ศ.2416 เก๊ปลอมเรียนแบบพิมพ์สมบูรณ์พูนสุข ตอกโค๊ตเมล็ดงา วาระที่ 1 ร.5 ทรงผนวช โค๊ตเมล็ดงาตอกได้คมชัดมาก เนื้อในเป็นเนื้อนวโลหะ ชุบทองคำ เนื้อทองคำ % จะใกล้เคียงกับของจริง องค์พระกริ่งฯ มีเกลาขัดตบแต่ง ฝีัมือสวยงามประณีตมาก ระดับปลอมขั้นเทพ

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

66. การฝึกอภิญญา

การฝึกอภิญญา ตอนที่ ๑

( ๑๘ ก.พ. ๒๕๒๘ )

การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจจะมาฝึกพระกรรมฐาน พระกรรมฐานที่บรรดาท่านฝึกอยู่นี่ เป็นการเตรียมตัวเพื่อ " อภิญญาหก " คือ มันสูงกว่าวิชชาสาม กรรมฐานนี่ความจริงถ้าเราจะฝึกกันจริง ๆ ตามแบบ มันก็มีหลายพันแบบด้วยกัน แต่ว่าทุกแบบต้องมาลงใน ๔๐ แบบ ที่เรียกว่า " กรรมฐาน ๔๐ "
กรรมฐาน ๔๐ นี่เป็นต้นแบบใหญ่ อย่าลืมว่ากรรมฐานไม่ได้มีแบบเดียวนะ แล้วแต่ละ ๔๐ แบบ แยกเอาการฝึกออกไปเป็นข้อปลีกย่อยได้เป็นพัน ๆ จะเป็นการฝึกข้อปลีกย่อยกี่พันแบบ หรือต้นฐาน ๔๐ แบบก็ตาม ก็ย่อเป็นกรรมฐาน ๔ หมวด ต้องเข้าหมวดใดหมวดหนึ่งให้ได้ ถ้าเข้าหมวดใดหมวดหนึ่งไม่ได้ นั่นคือ ไม่ใช่กรรมฐานของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้

หมวดที่ ๑ เรียกว่า " สุกขวิปัสสโก " บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายฝึกกันเป็นปกติ หมวดนี้ไม่มีความเป็นทิพย์ของจิต ไม่สามารถเห็นสวรรค์ เห็นเทวดา เห็นพรหมโลกได้ ไม่สามารถจะไปได้ แต่ว่ามีฌานสมาบัติได้ เป็นพระอริยเจ้าได้ ไปนิพพานได้
หมวดที่ ๒ เรียกว่า " เตวิชโช " หมวดนี้พอจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิแล้ว แล้วก็ฝึก ทิพจักขุญาณ เมื่อฝึกทิพจักขุญาณได้แล้ว ต้องเข้าไปฝึก ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลึกชาติได้ เมื่อได้ทั้ง ๒ ประการแล้ว ใช้กำลังญาณทั้ง ๒ ประการเข้าช่วยวิปัสสนาญาณเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ เรียกว่า " พระวิชชาสาม " หมวดนี้สามารถเห็นสวรรค์ นรก เห็นพรหมโลก หรืออะไรก็ได้ทั้งหมด แต่ไปไม่ได้ ได้แต่เห็นอย่างเดียว นั่งตรงนี้คุยกับเทวดาหรือพรหมก็ได้ นั่งตรงนี้คุยกับสัตว์นรกก็ได้ อย่างนี้เรียกว่า " วิชชาสาม "
หมวดที่ ๓ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติกันอยู่นี่ เป็นหมวด" อภิญญาหก " อภิญญาหกนี่เราไปไหนไปได้ตามใจชอบ จะไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน ไปนรก เปรต อสุรกาย ไปได้หมด ประเทศต่าง ๆ ไกลแสนไกลแค่ไหน ประเทศในมนุษยโลกนี่มันไม่ไกลหรอก เราสามารถไปได้ ดวงดาวต่าง ๆ ที่ฝรั่งจะไปเราก็ไปได้ไม่ต้องลงทุน อย่างนี้เป็น " อภิญญาหก "
สำหรับ หมวดที่ ๔ " ปฏิสัมภิทาญาณ " นี่มีความรู้ฉลาดมาก ปฏิสัมภิทาญาณมีความสามารถคลุมหมด คลุมสุกขวิปัสสโกด้วยเอาไว้ในตัว เอาวิชชาสามเข้าไว้ด้วย แล้วเอาอภิญญาหกเข้าไว้ด้วย แล้วก็ฉลาดมาก คือว่า ฉลาดในธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกอย่าง เรียกว่า " ปฏิสัมภิทาญาณ "
สำหรับในตอนนี้ขอนำเรื่องของ " อภิญญาหก " มาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท คือว่า ทุกคนเวลานี้เป็นการเตรียมตัวเพื่ออภิญญาหก " มโนมยิทธิ " นี่เขาถือว่าเตรียมตัวเพื่ออภิญญาหก เหมือนกับนักเรียนเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย เตรียมตัวไว้ก่อนซ้อมไว้
อภิญญาหกจริง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาจจะทำได้จนเป็นสาธารณะ ต่อเมื่อถึง " พ.ศ. ๒๕๔๓ "
ตอนนั้นถ้าคนไม่ขี้เกียจ จะสามารถทำอภิญญาหกได้ เวลานี้จะได้เป็นบุคคลบางคน อย่างนักเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ เวลานี้เธอสามารถใช้กำลังอภิญญาหกได้บางส่วน คือ ไปไหนก็ไปทั้งตัว จะไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ก็ยกตัวร่างกายไปเลย แต่ว่ากำลังของอภิญญาหกจริง ๆ ยังใช้หมดไม่ได้ ใช้ได้เฉพาะไปแค่รู้
เพราะกำลังจริง ๆ จะเข้ามาถึง " พ.ศ. ๒๕๔๓ " ถ้าถึง " พ.ศ. ๒๕๔๕ อันนี้เป็นสาธารณะจริง ๆ
สำหรับอภิญญาหก บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เราก็ไปกันอย่างที่เราฝึกนี่แหละ! เราสามารถแสดงฤทธิ์แสดงเดชได้ ต้องการจะทำอะไร แค่นึกมันก็เกิดขึ้นทันที ถ้าเราเป็นคนแก่ อยากจะให้คนอื่นเห็นเป็นคนหนุ่มสาว นึกว่าให้เห็นอย่างคนขนาดนั้น อายุแบบนั้น รูปร่างแบบนี้มันก็เป็นทันที เอากันแค่นึก ...
อภิญญาหกนี่เขาใช้แค่นึกเท่านั้นนะ ไม่ใช่ไปนั่งเข้าสมาธิเสียเวลา ๑ นาที อันนี้ใช้ไม่ได้ แค่นึกปั๊บมันจะเป็นทันที นึกอยากจะไปไหนร่างกายถึงทันทีทันใด มันเร็วกว่าลัดนิ้วมือหนึ่ง จะไปสวรรค์ จะไปนรก จะไปประเทศไหนก็ตาม พอนึกปั๊บมันจะไปถึงเลย นี่เป็นกำลังของอภิญญาหกส่วนหนึ่ง
วันนี้ก็ขอแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัท ในด้านการเตรียมตัวก่อน การเตรียมตัวเวลานี้เราใช้กำลังของมโนมยิทธิยังไม่เต็มกำลัง ที่ใช้เวลานี้เป็นกำลังส่วนหน้า ส่วนหน้าที่ขึ้นเป็นกำลังของวิชชาสาม ถ้าใช้กำลังของอภิญญาจริง ๆ เราไปกันไม่ได้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้ลดกำลังส่วนหน้าลง คือ ใช้กันแค่ " อุปจารสมาธิ "
ถ้าเป็นกำลังของอภิญญาจริง ๆ ต้องใช้กำลังของ " ฌาน ๔ " เป็นพื้นฐาน
แต่ว่าถึงแม้จะได้ครึ่งกำลังก็ถือว่าเป็นการเตรียมตัวเหมือนนักเรียนเตรียม ปีแรก ต่อไประหว่างพรรษานี้จะเริ่มฝึกเต็มกำลัง ใครทำได้ก็ได้ ไม่ได้ก็แล้วไป ครูมีหน้าที่สอนเป็นเรื่องความฉลาดของคน ใครโง่มากก็ไม่ได้เลย โง่น้อยก็ได้บ้าง ถ้าไม่โง่เลยได้ทั้งหมด ถ้าหากว่าฝึกเต็มกำลังได้ นี่ถือว่ากำลังจิตของเราได้ครึ่งหนึ่งของอภิญญาหก พอหลังจากนั้นก็ไปฝึกฝนอภิญญาหกต่อไป ค่อย ๆ ฝึก
สำหรับเบื้องต้น บรรดาท่านพุทธบริษัทที่ได้แล้วก็ดี เพิ่งจะฝึกก็ดี หรือตั้งใจจะมาฝึกก็ดี ให้ใช้กำลังใจตามนี้ไว้ก่อน รักษาความดีไว้ คือ :-
๑. พยายามไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น ใครเขาจะดีใครเขาจะเลวแบบไหน มันเรื่องของเขา เราสนใจเฉพาะกำลังใจของเราเอง กำลังใจของเรามันดีหรือมันเลว ถ้าเรายังสนใจในจริยาของบุคคลอื่น แสดงว่าเรายังเลวมาก เพราะเราไมได้ห่วงตัวเอง เราไปห่วงคนอื่นเขาประโยชน์อะไรจะเกิดกับเรา คนอื่นเขาเลวก็เป็นเรื่องของเขา คนอื่นเขาดีก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเราไปสนใจเขา เราก็ทิ้งความดีไปหาความเลว
อันดับแรก ให้ห่วงใจตัวเอง ว่าเวลานี้กิจที่เราจะพึงทำน่ะมันพร้อมแล้วหรือยังที่จะรักษาความดี คือ มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา คำว่ามีศรัทธาในพระพุทธศาสนานี่ ความเชื่อในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ของเราพร้อมแล้วหรือยัง ถ้าวันไหนมีความสงสัยขึ้นมาให้ชื่อว่าเราเลวเสียแล้ว...
การ กำจัดความชั่วด้านความโลภ คือ การคิดอยากได้ในทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นเขามาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม และจิตไม่คิดในการเผื่อแผ่มันเกิดขึ้นกับใจของเรา ถ้ามีก็เตือนใจบอกเราเลวไปแล้ว คือ กำลังใจของเรามี ให้คิดว่า ขึ้นชื่อว่าทรัพย์สมบัติของใครก็ตามที เราไม่สามารถจะได้มาโดยชอบธรรมเราไม่เอา แล้วกำลังใจเป็น " จาคานุสสติ " คิดว่าถ้าใครเขามีทุกข์ ถ้าไม่เกินวิสัยที่เราจะช่วย เราจะช่วย ถ้ากำลังใจทั้ง ๒ ประการนี้ยังอยู่ประจำใจเสียแล้ว แสดงว่าความดีด้านโลภะ การกำจัดโลภะของเรามีในใจ โลภะ ความโลภมันก็ออกจากใจ นี่ดีมาก ทั้งหมดนี้เป็นข้อที่ ๑
๒.การคิดประทุษร้ายบุคคลอื่นมีไหม อยากจะคิดให้คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ อยากจะคิดเข่นฆ่า อยากจะคิดทรมานเขามีไหม ถ้ามันมีถือว่าใช้ไม่ได้ เลว! ต้องคิดว่า คนเกิดมา คนก็ดี สัตว์ก็ดี เกิดมามันต้องตายกันหมด ถ้าเราจะทรมานเขาให้ลำบากก็ไม่ต้องไปทรมาน มันลำบากอยู่แล้ว ทุกคนมีความหิว ทุกคนมีความร้อน มีความกระหาย มีการป่วยไข้ไม่สบาย ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ มีการงานที่จะต้องทำ มีความแก่ลงไปทุกวัน มีความตายในที่สุด เขาถูกทรมานอยู่แล้ว ไม่ต้องไปช่วยเขา ถ้าไปช่วยเขาเราจะเลวมากขึ้น คิดอย่างเดียวว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั้งโลก แต่ก็เผลอบ้างอะไรบ้างเป็นของธรรมดา ถ้าจิตยังไม่ถึงที่สุด คิดไว้อย่างนี้ชื่อว่าความดีเข้าถึงใจเรา เป็นการทำลายความโกรธ
๓. ทำลายความหลง เราเมาในร่างกายเกินไปไหม เมาในทรัพย์สินเกินไปไหม ชีวิต ที่เกิดมานี่มันต้องตาย จิตเราเคยคิดถึงความตายไหม ถ้ายังไม่คิดถึงความตายนี่มันเลวที่สุด เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว สมบัติที่จะพึงได้คือ แก่ทุกวัน ไอ้กำลังความแก่มีอยู่ ไอ้ความแก่ของเรานี่มันจะแก่ถึงไหนก็ไม่แน่ จะไปคิดว่าอายุ ๖๐ - ๗๐ - ๘๐ ตายน่ะไม่แน่! ให้ คิดว่าความตายจะมาถึงเราในวันนี้ไว้ก่อน มันแก่มาแค่นี้ถือว่าแก่นานแล้ว แต่วันนี้อาจจะตายก็ได้ ให้กำลังใจพร้อมไว้ คือ ไม่เมาในชีวิต
อย่างนี้องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรกล่าวว่า " เป็นผู้ทำลายความหลงในจิต " เอากันอย่างย่อนะ
ถ้าเราคิดว่าความตาย ตื่นขึ้นมาตอนเช้าคิดว่าความตายอาจจะมีกับเราในวันนี้ เราทำอย่างไร เราอยากจะสวรรค์ หรือ เราอยากจะไปพรหมโลกเวลาตาย หรืออยากจะไปนิพพาน
แต่ว่าสมาคมนี้ไม่ต้องการสวรรค์ ไม่ต้องการพรหมโลก ต้องการ " นิพพาน "
ถ้าเราต้องการนิพพานก็ทบทวนความดีของเรา ที่เราฝึกกรรมฐานน่ะ วิมานของเราที่นิพพานมีหรือเปล่า .. ถ้าวิมานของเรามีที่นิพพานน่ะ! บารมีเราเต็มแล้ว เราก็ไม่ควรจะสละสิทธิ์ เพราะว่าคนที่มีบารมีเต็ม มีวิมานที่นิพพานน่ะ คนนั้นมีสิทธิ์จะไปนิพพานในชาตินี้ แต่ว่าที่ไม่ไปกันก็มีเยอะ มัวเมาในชีวิตเกินไป สละสิทธิ์นิพพานไปชาติต่อไป อันนี้โง่มาก...
ถ้าเราคิดว่าวิมานที่นิพพานของเรามี เวลาเช้ามืดตื่นขึ้นมา ร่างกายเรามันเพลียไม่อยากนั่งก็ไม่ต้องนั่ง นอนแบบนั้นแหละ รวบ รวมกำลังใจ ตัดสินใจว่าร่างกายอย่างนี้ไม่ต้องการมันอีก ความเป็นมนุษย์มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ ไม่ต้องการมันอีก เราต้องการจุดเดียวคือ " นิพพาน " เพียงเท่านี้พุ่งใจไปนิพพานทันที ไปนั่งอยู่ข้างหน้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยก็ดี เข้าวิมานของเราก็ได้ ถ้าเข้าในวิมานของเราถ้าเราไม่เห็นพระพุทธเจ้า พอนึกถึงท่านปั๊บท่านจะมาทันที เราก็ตัดสินใจว่า ถ้าร่างกายมันตายวันนี้หรือเมื่อไรก็ตาม ขอมาที่นี่จุดเดียว แค่นี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ก่อนจะตายวันนั้นท่านต้องเป็นพระอรหันต์ก่อน เป็นยังไง มันเป็นเอง ไม่ต้องห่วงหรอก ทำจิตอย่างนี้กันทุกวันเป็นอรหันต์เอง แค่นี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ต้องทำให้ได้!
ต่อนี้ไปก็จะพูดถึงการปฏิบัติที่บรรดาพุทธบริษัทเข้ามาใหม่ ๆ อันดับแรก ทุกคนต้องมี " ศรัทธา " ไว้ก่อน เรื่องของพระพุทธศาสนานี่ไม่มีศรัทธาความเชื่อนี่ ไม่มีผลเลย
ประการที่สอง ฝึกตัดกังวล ขณะที่มาอยู่ที่วัดนี่ไม่ห่วงอะไรเลยที่บ้าน ถ้าคนฉลาดนี่เขาไม่ห่วง ไอ้คนห่วงน่ะคนโง่ ใช้ปัญญาคิดนิดหนึ่งว่า เรานั่งอยู่ตรงนี้ทางบ้านมันมีอะไรเกิดขึ้น เราเห็นไหม เรารู้ไหม เรารู้ไม่ได้ เห็นไม่ได้ แต่ว่าถ้าเราได้มโนมยิทธิ ถ้าเราห่วงเราย่องไปประเดี๋ยวหนึ่งก็ได้ และเวลานี้ต้องตัดความห่วงให้หมด ถ้าความกังวลคือ ความห่วงไม่มี จิตมันก็เริ่มเป็นสมาธิ หรือว่านิวรณ์ไม่กวนใจ
หลังจากนั้นทุกคนคุมศีลให้บริสุทธิ์ ตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะถึงวันตาย ไม่ใช่เฉพาะวันนี้และไม่ใช่อยู่ที่วัด ถ้าหากว่าคุมศีลไม่ได้วันไหน ฌานมันก็หล่น ปฏิบัติอย่างนี้คือ :-
๑. จะไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
๒. จะไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล
๓. จะไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว
หลังจากนั้น ถ้าเรายังไม่เป็นพระอนาคามี นิวรณ์มันยังตัดไม่ได้ เอาแค่ระงับชั่วคราวคือ :-
๑. กามฉันทะ ความ พอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และในเพศตรงกันข้าม ยามปกติต้องมีและก็ต้องใช้ ก่อนจะทำกรรมฐานมันก็มีแล้วก็ใช้ เลิกกรรมฐานแล้วก็มีแล้วก็ใช้ อันนี้ไม่มีใครเขาว่า แต่ว่าเวลาที่เราจะเริ่มทำจิตเป็นสมาธิ ตัดกำลังนี้ออกจากใจไปชั่วคราว เราเวลานี้เราไม่ต้องการอะไรทั้งหมด
๒. ความไม่พอใจ อย่าให้มี
๓. ไอ้ความง่วงนี้ ถ้าเราโง่มันก็ง่วง ไม่โง่ก็ไม่ง่วง แล้วเวลาจะทำอย่าให้ดึกเกินไป ใช้เวลาหัวค่ำ กลางวันเวลาไหนก็ได้ เวลาทำต้องเป็นคนไม่มีเวลาแน่นอน เวลาไหนเราก็ทำได้ เวลาที่มันง่วงเพลียจัด เราก็อย่าไปทำมันซิ ไม่ให้มีความง่วง
๔. ควบคุมกำลังใจว่า เวลานี้ฉันจะภาวนา เวลานี้ฉันจะพิจารณา เวลานี้ฉันจะรู้ลมหายใจเข้าออก อย่างอื่นอย่าเข้ามายุ่งกับฉัน
๕. เราจะไม่สงสัยในผลของการปฏิบัติ
หลังจากนั้นสมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ให้ฝึกตื่นขึ้นมาเช้าคิดไว้เสมอว่า วันนี้เราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั่วไป บุคคลใดมีความทุกข์ เราจะเกื้อกูลให้มีความสุข ถ้าหากว่าถ้ามีใครเพลี่ยงพล้ำเราจะไม่ซ้ำเติม
แค่นี้แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท กำลังใจทรงแค่นี้ เราถือว่าเป็น " ผู้ทรงฌาน " ถ้ารักษาอารมณ์อย่างนี้ไว้ได้ ฌานทุกอย่างจะไม่มีเสื่อม มีแต่ก้าวหน้า
 
ต่อไปเป็นการรักษากำลังใจ นี่เป็นเรื่องเบื้องต้นของมโนมยิทธิ จะไม่อธิบายถึงผล ผลต่าง ๆ ก็คือ ครูฝึกให้แล้ว ถ้าทรงกำลังได้อย่างนี้ คำว่าเสื่อม คำว่าถอยหลัง ไม่มี ต่อไปที่บอกไว้ในเบื้องต้นว่า การฝึกแบบนี้เป็นการเตรียมตัวเพื่ออภิญญาหก ทีนี้คำว่า " อภิญญาหก " นี่มันต้องมี อาสวักขยญาณ คือ ตัดกิเลส ถ้าตัดกิเลสไม่ได้ เขาเรียกว่า " อภิญญาห้า " อภิญญาห้านี่! เราจะฝึกกันทำไม ฝึกกันเท่าไรมันก็ยังคงลงนรกอยู่ อย่าง พระเทวทัต ได้อภิญญาห้าเหาะลงนรกไปเลย มันต้องเป็นอภิญญาหก คือ ตัดกิเลสให้ได้ ตัดกิเลสนี่มี ๓ ตอน คือ " สังโยชน์ ๑๐ " มีการตัดจริง ๆ ๓ ตอน ทีแรกตัดตอนต้นให้ได้
ตอนต้น คือ อารมณ์ของพระโสดาบันและสกิทาคามี ถ้าคนที่มีวิมานที่นิพพานแล้วถ้าทำไม่ได้อย่างนี้ ภาษาจะพูด ภาษาไม่หยาบก็จะไม่พูดแต่จะพูดให้ฟังที่ว่าอยากจะพูดว่า เลวกกว่าหมานี่ นี่ไม่ได้พูดหรอก บอกให้ฟัง คือว่า ถ้ามีวิมานอยู่ที่นิพพานนี่กำลังใจของเรา บารมีมันถึงนิพพานแล้ว สังโยชน์ ๓ ตัดไม่ได้ก็เลวเต็มที สังโยชน์ ๓ มีอะไรบ้าง กำลังของพระโสดาบันกับสกิทาคามีนี่ต้องได้ กำลังของพระโสดาบัน สกิทาคามี เขามีความรู้สึกอย่างไร เอาความรู้สึกที่มีอยู่ประจำตัว คือ :-
๑. มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย จะตายเมื่อไรก็ช่าง คิดว่าอาจจะต้องตายวันนี้ไว้เสมอ คุมความดีไว้ แค่นี้คิดไม่ได้ก็เลวเต็มที
๒. ใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าเราควรเคารพนับถือไหม แค่นี้ถ้ายังสงสัยก็เลวอีกแล้ว
๓. ทรงศีลให้บริสุทธิ์ตามฐานะของตัว ฆราวาสนี่แค่ ศีล ๕ พอ พระก็ ๒๒๗ และก็มากกว่านั้นนะ คือ อภิสมาจารนี่มีอีกเยอะ ธรรมะนี่มีอีกเยอะ สามเณรนี่ศีล ๑๐ พร้อมกับเสขิยวัตร ๗๕ เฉพาะฆราวาสนี่แค่ศีล ๕ ทรงให้ได้ ถ้าทรงศีล ๘ ได้ก็ดี ถามว่าทรงตอนไหน ทรงตั้งแต่เวลานี้ไปจนกว่าจะหมดลมหายใจเข้าออก อารมณ์ของพระโสดาบัน สกิทาคามี มีแค่นี้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ตัดกิเลสเบื้องต้นได้แล้ว ถ้าได้อภิญญาคือ เป็นอภิญญาหกอีก ๒ จุด จะไม่พูดถึง ไม่จำเป็น เอาแค่นี้ให้ได้ก่อน หลังจากนั้นเป็นการซักซ้อมไว้เพื่ออภิญญา
ฉะนั้น การฝึกอภิญญานี่มันมี ๒ แบบ
คนที่ไม่เคยได้มาในชาติก่อน เราฝึกอีกแบบหนึ่ง
คนที่เคยได้แล้วในชาติก่อน เราก็ฝึกอีกแบบหนึ่ง
วันนี้จะพูดเฉพาะคนที่ได้แล้วในชาติก่อน และคนที่ได้มโนมยิทธิมาแล้ว ทุกคนมันเคยได้มาแล้วทั้งนั้น ถ้ากาลเวลามาถึงทำไม่ได้ แสดงว่าคบความโง่ไว้มากกว่าความฉลาด เพราะเคยได้มาแล้วนี่ก็ต้องเอาของเก่ามาใช้ให้ได้ เวลานี้ " มโนมยิทธิ " ที่ฝึกได้แล้วต้องทำให้เข้มข้น อย่าปล่อย เพราะมันเป็นก้าวแรกที่จะเข้าสู่ .. " อภิญญา "
วิธีปฏิบัติเบื้องต้น มีความสำคัญต้องทำ ให้ทรงกำลังใจตามนี้ คือ ไม่ต้องไปไล่หน้ากสิณ ทีแรกคิดว่าจะไล่กสิณเล่นโก้ ๆ พระท่านบอก
" ไม่จำเป็น! คนพวกนี้ไม่จำเป็นต้องไปไล่กสิณ เพียงแค่กำลังใจเข้าถึงฌานเท่านั้นแหละ คือ เข้าถึงเต็มกำลัง อภิญญาเก่าจะเข้าทันทีใช้ได้หมดเลย... "
แต่ ว่าต้องเป็น " พ.ศ. ๒๕๔๓ " ขึ้นไป ให้เริ่มใช้ตั้งแต่เวลานี้ เริ่มใช้ตั้งแต่เวลานี้จิตจะได้ทรงตัว ถ้าคนก็จะเป็นคนดี ถ้าพระก็จะเป็นพระดี ไอ้พระเลว ๆ ที่มันเลวมันไม่ได้ทำ ถ้าพระวัดนี้พระองค์ไหนเลวไม่พลาด " อเวจี " หรือ " โลกันตนรก "
อย่าลืมนะ! นี่วิธีปฏิบัติกำลังใจเพื่ออภิญญา
เมื่อตอนที่ " องค์ปฐม " ท่านมา ท่านบอกใช้อย่างนี้ ให้จับภาพพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ให้จิตทรงกำลังฌาน ๔ เป็นปกติ ไอ้ทรงฌาน ๔ เป็นปกติ ฌาน ๔ นี่เวลาเราออกจากร่างกายนี่เราเป็นฌาน ๔ แล้ว แต่นั้นเป็นฌาน ๔ เบื้องต้นที่มีกำลังอ่อน ต้องใช้ให้มีกำลังเข้มข้น นั่นก็คือ นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่ นึกปั๊บเห็นทันที นึกจับพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชัดเจนแจ่มใส ตามกำลังให้ได้ทุกวัน ทุกวันและทุกเวลาที่เราต้องการ ไม่ใช่นั่งรอเวลาเงียบสงัด ไม่ใช่อย่างนั้น เดินไปเดินมา ทำงานอยู่นึกปั๊บให้เห็นเลย เห็นแล้วอธิษฐานพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงโตขึ้น ใหญ่ขึ้น สว่างกว่านี้ เล็กลง อยู่ข้างบน สูงมาก สูงน้อย เราทำอย่างนั้น อย่าคิดว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ไม่ใช่ นี่อาตมาแนะนำเอง
ขอให้ทรงกำลังใจอย่างนี้ให้เป็นปกติ เพราะการเดินไปเดินมา พระก็ตาม เวลาเดินไปบิณฑบาต เดินไปทำงานทำอะไรอยู่ก็ตาม ให้เห็นภาพพระพุทธเจ้าเป็นปกติที่ต้องการจะเห็น ถ้าอย่างนี้ทุกคนจะอยู่ในเกณฑ์สำรวม ความวุ่นวายจะไม่มีอยู่ในจิต ความเลวของคนของพระจะไม่มี ญาติโยมสังเกตไว้นะ!
ถ้า พระองค์ไหนมันเลว มันไม่ทำแบบนี้หรอก ถ้าจับแบบนี้อารมณ์เลวไม่มี แล้วงานจะต้องเป็นไปตามปกติ นักเจริญกรรมฐานนี่เขาเคร่งครัดในการงาน เพราะต้องเป็นคนเคร่งครัดในกาลเวลา ถ้าไม่เคร่งครัดในกาลเวลามันทำไม่ได้ แม้แต่ในกรรมฐานเบื้องต้นเขาก็เคร่งครัดในกาลเวลาหรือการงาน
รวมความว่า ถ้าจับภาพพระให้เป็นปกติ สำหรับเรื่องกสิณไม่ใช่ของแปลก และจะลองเล่นกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งไว้เป็นอดิเรก อย่าใจร้อน..
อันดับแรก จับภาพพระพุทธเจ้าให้ชัดเจน ต้องฝึกตัวนี้ก่อน เดินไปเดินมานึกเมาอไรเห็นปั๊บทันที นอนหลับตื่นก็เห็นชัด ต้องอย่างนี้อภิญญา ไม่ใช่มานั่งทำ เขาเดินทำ เขาวิ่งทำกัน การทรงกำลังของสมาธิ เมื่อได้ทุกขณะแล้วอย่าใจร้อน เมื่อได้ตามความต้องการนึกเมื่อไรเห็นชัด ต่อจากนั้นไปก็เอากสิณอย่างใดอย่างหนึ่งมาเล่นเป็นงานอดิเรก กสิณลมนี่มันเล่นยาก ความจริงอยากจะให้เล่นกสิณลม กสิณลมนี่มันเหาะได้นะ โก้ดี แต่มันเล่นยาก ถ้าไม่ฉลาดนี่มันเล่นยาก เอาง่าย ๆ ดีกว่า เอาปฐวีกสิณก็ได้ หรือ อาโปกสิณก็ได้ เอาง่าย ๆ ..
ถ้าปฐวีกสิณ ก็จับดินขึ้นมา เอาดินสีอรุณขึงไว้ทำวงกลมให้โตพอที่ตามองเห็น แล้วไม่เห็นขอบวงกลม จับภาพให้ทรงตัว แต่ก็ไม่สะดวกอีก ต้องอาโปกสิณดีกว่า
อาโปกสิณ เล่นง่าย ถ้ามันทำได้อย่างใดอย่างหนึ่งมันได้หมด ถ้าอาโปกสิณเอาน้ำมาใส่แก้วหรือใส่ขัน จับภาพพระพุทธเจ้า เดินไปเดินมาก็เห็นชัด นั่งก็เห็นชัด พอจับภาพพระพุทธเจ้าเห็นชัดเจนแจ่มใส แพรวพราวเป็นระยับเป็นฌาน ๔ ทรงตัว ขอพระองค์โตขึ้น เล็กลง อย่างนี้สะดวกมากได้แน่นอน จิตไม่วอกแวกตามกำลัง ตั้งเวลาไว้ ๑๐ นาที ๒๐ นาที ๓๐ นาที ให้ทรงตัวให้ได้ ถ้า ๓๐ นาทีมันไหลไป อย่างนี้จิตใช้ไม่ได้แล้ว ยังเล่นกสิณไม่ได้ ถ้ามันทรงตัวได้จริง ๆ ภาพทรงตัว เวลานั้นก็เอาน้ำมาตั้ง จับภาพพระพุทธเจ้าให้ชัดเจนแจ่มใสเต็มกำลังของฌาน ๔ คือ แพรวพราวเป็นระยับของฌาน ๔
หลังจากนั้นถอยหลังมา ขอกำลังบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า น้ำในแก้วหรือในขันนี้ขอให้แข็ง จิ้มไปตรงไหนตรงนั้นแข็ง แล้วเข้าฌาน ๔ ใหม่ จับภาพพระพุทธเจ้าใหม่ทำใจเฉยไว้ ถอยหลังมาอีกทีทรงจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ อธิษฐานว่าน้ำนี้จงแข็ง แล้วจิ้มปั๊บมันแข็งหรือยัง ยังไม่แข็งก็แล้วไป เพราะเวลามันยังไม่ถึง ซ้อมไว้จนกว่าจะถึง " พ.ศ. ๒๕๔๓ " ทำไปทุกวัน ๆ เล่นแบบนี้ เล่นเป็นปกติ ไม่ช้าก็จะมีการทรงตัว พออธิษฐานไปอธิษฐานมา น้ำเกิดแข็งมาตามความชอบใจ เราต้องใช้เวลาอยู่ ยังเป็นกำลังของอภิญญาไม่ได้ ยังอ่อนมากไป
ถ้าจะเป็นกำลังของอภิญญาจริง ๆ ก็จับน้ำมา น้ำที่ไหนก็ตาม น้ำในแม่น้ำ น้ำในคลอง น้ำในบ่อก็ตาม นึกว่าน้ำที่จับไปจงแข็ง แหย่ปั๊บทันที แข็งทันที อย่างนี้เป็นตัวอภิญญาแน่ หลังจากนั้นก็ใช้กำลังของกสิณให้พอใจ กำลังของกสิณก็คือ :-
๑. ปฐวีกสิณ อธิษฐานของอ่อนให้เป็นของแข็ง อยากจะเดินบนน้ำก็อธิษฐานว่า เท้าที่เราก้าวไปตรงไหนให้น้ำแข็งเหมือนดิน เฉพาะที่เท้าก้าวนะ อย่าไปเสือกอธิษฐานให้หมดทั้งคลองนะ! มันไม่ถูก..การจราจรเขาเสีย อย่างนี้ก้าวไปได้สบาย อยากจะเดินไปในอากาศ อธิษฐานว่าเท้าที่ข้าพเจ้าก้าวไปในอากาศ เหยียบตรงไหนให้แข็งเหมือนดิน เดินได้สบาย...
๒. อาโปกสิณ ทำของแข็งให้เป็นของอ่อน หินมันแข็งทำให้เป็นของอ่อน เหล็กมันแข็งให้มันอ่อน แล้วฝนไม่ตกทำให้ฝนตกได้ทุกอย่าง
๓. เตโชกสิณ ไฟนี่! ถ้ามันหนาวเกินไป อธิษฐานเตโชกสิณ ให้มีความอุ่นแค่นั้นแค่นี้ ต้องการให้ไฟลุกล้อมใครเสียก็ได้ ใครพูดไม่ดีอธิษฐานให้ไฟล้อม มันเดินไม่ได้อยู่ตรงนั้นแหละ ถ้ามันไม่ขอขมาก็ไม่เลิกกัน อย่าไปเล่นแบบนี้นะ ถ้าไปเล่นแบบนี้กสิณเสื่อม หรือบางทีความมืดก็ใช้เตโชกสิณช่วยให้แสงเกิด
๔. วาโยกสิณ กสิณเหาะ! นึกอยากจะให้เราไปไหน นึกแป๊บเดียวมันจะไปถึงทันที นึกอยากจะให้ใครมาหาเรา ก็คิดถึงวาโยกสิณปั๊บหอบคนนั้นมา มันจะมานั่งปุ๊บนั่งข้างหน้าเลย เอาแค่นึกไม่ใช่ตั้งท่านะ ตั้งท่าใช้ไม่ได้
๕. ปีตกสิณ ถ้าของสีดำ สีแดงก็ตาม ต้องการคิดให้เป็นสีเหลือง สีทอง และแผ่นดินนี่ต้องการให้เป็นสีทองเมื่อไหร่ มันจะเป็นทองได้ทันที ไอ้บ้านหลังนี้ถ้าเป็นตึกเป็นไม้ เราคิดจะให้เป็นสีเหลือง สีทอง มันก็เป็น...
๖. โอทาตกสิณ โอทาตกสิณนี่ถ้าของมันขาว มันเขียว มันแดงนี่ ต้องการให้มันขาว นึกให้มันขาวมันจะขาวเลย
แต่ก็มีกสิณอีกเยอะ! รวมความว่ากำลังของกสิณทั้งหมดเป็นเรื่องเล็ก ๆ ถ้าเราทำเบื้องต้นได้
ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเตรียมฝึกเพื่ออภิญญา เวลานี้จะเตรียมใช้กำลังใหญ่ไว้ได้เลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าทำอย่างนี้มโนมยิทธิของทุกคนจะไม่มีคำว่าเสื่อม จะมีความทรงตัวแล้วจะเข้มแข็งขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังที่จะตัด " สังโยชน์ ๓ " ต้องทำให้ได้ อันนี้ไม่ใช่คำขอร้อง เป็น " คำสั่ง " ว่าคนที่ต้องการความดีถึง " นิพพาน " หรือ " อภิญญา " ก็ตาม ต้องทำ " สังโยชน์ ๓ " ให้ได้ คือ :-
๑. มีความรู้สึกไว้ทุกวัน เวลาตื่นเช้าว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ถ้าตายแล้วเราไม่ยอมไปอบายภูมิ
๒. เราจะยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจของเราด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
๓. จะทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
เท่า นี้แหละ! แล้วหลังจากนั้นก็ใช้กำลังใจของพระอรหันต์ไว้ประจำใจ คือ ขึ้นชื่อว่ามนุษยโลกมันเป็นทุกข์เราไม่ต้องการมันอีก พรหมโลกกับเทวโลกสุขจริง แต่ไม่นาน ไม่ต้องการมันอีก เราต้องการจุดเดียวคือ .. " นิพพาน " อย่างนี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์ รักษากำลังใจตามนี้ไว้ เมื่อถึงอายุขัยเมื่อไร ก่อนจะตายจะเป็นอรหันต์เมื่อนั้น เมื่อตายเมื่อไรก็ไปนิพพาน ...
ถ้ายังไม่ไปนิพพานเพียงใด ถ้าโอกาสมี ถ้าเราสามารถใช้อภิญญาได้ แต่ว่าการใช้อภิญญานี่ต้องใช้ให้ถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านห้ามพระ ถ้าไม่มีคนเห็นใช้ได้ ถ้ามีคนเห็นใช้ไม่ได้ แล้วก็มีประโยชน์มาก
สำหรับคำแนะนำการฝึกอภิญญาหก ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ สวัสดี

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

65. พระผู้ทรงอภิญญาบารมีร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิต

พระผู้ทรงอภิญญาบารมีพระคณาจารย์ที่ร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิต ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีบทบาทสำคัญของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)  วัดพระแก้ว(วังหน้า) และวัดบวรนิเวศวิหาฯลฯ ในสมัยโบราณที่หาผู้รู้ในปัจจุบันได้ยาก


     พระเครื่องฯของทั้ง 3 วัดนี้หากตรวจสอบด้วยวิธีทางฌาณสมาบัติหรือขอพระฯท่านเมตตาสงเคราะห์จะทราบว่า พระพุทธวิถีนายก หรือ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม ได้ร่วมอธิฐานปลุกเสกร่วมอยู่ด้วยในหลายวาระ  

     พระเครื่องฯที่แตกกรุจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)  วัดพระแก้ว(วังหน้า) ที่พบมีพระพิมพ์เนื้อผงยาจินดามณี เบี้ยแก้บุทองคำ เงิน นาค ฯลฯของหลวงปู่บุญที่ได้ร่วมอธิฐานจิตรวมอยู่ในกรุดังกล่าวจำนวนมาก

     พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 พ.ศ.2434  ตรวจสอบด้วยวิธีทางฌาณสมาบัติหรือขอพระฯท่านเมตตาสงเคราะห์ หลวงปู่บุญ ท่านก็ได้ร่วมอธิฐานจิตด้วยเช่นกัน
 


รูปถ่ายหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว

เข้าพบสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต  พรหมรังษี) วัดระฆังฯ
     เมื่อหลวงปู่บุญ  ได้บวชเรียนไม่กี่พรรษา ท่านได้เดินทางไปนมัสการท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) แห่งสำนักวัดระฆังฯ เพื่อได้พบปะสนทนากัน พอตอนลากลับ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์โตฯ ได้มอบ พระสมเด็จ ให้องค์หนึ่ง และหลวงปู่บุญได้นำมาใช้ทำน้ำมนต์อยู่เสมอ จนพระเนื้อกร่อนไปหมด
     เรื่องนี้ หลวงปู่เพิ่มเคยเล่าให้ฟังว่า...ต่อมาพระสมเด็จองค์นั้นได้ตกทอดอยู่กับหลวงปู่เพิ่ม  นอกจากนี้ท่านยังเคยเล่าว่า  หลวงปู่บุญได้รับนิมนต์ไปในงานพิธีหนึ่ง  ท่านได้ฉันเพลในงานนั้น   โดยมีเจ้าประคุณสมเด็จพระพทฒาจารย์(โต) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์นั่งอยู่หัวแถว ส่วนหลวงปู่บุญนั่งปลายแถว


กาลสมภพ
     ชาตะเมื่อวันจันทร์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก จุลศักราช 1210 สัมฤทธศก เวลาจวนสว่าง ตรงกับวันที่ 3 กรกฏาคม พ.ศ. 2391 อันเป็นปีที่ 25 แห่งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


กาลมรณภาพ
     เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2478 ตรงกับวันจันทร์ขึ้น 8 ค่ำเดือน 5 ปีชวด เวลา 10.45 น. โดยโรคอาพาธ ณ กุฏีของหลวงปู่บุญ สิริอายุได้ 89 ปี พรรษา 67

ลูกศิษย์ของหลวงปู่บุญ
     นักนิยมพระเครื่องฯรู้จักเด่นๆ เช่น หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว  และพระมงคลราชมุนี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ฯ เป็นต้น


สหธรรมมิกที่สนิทสนม
     สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมหลวงวิชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระสังฆราฃ (แพ) ติสุสเทวเถร วัดสุทัศน์ฯ, หลวงปู่นาค วัดห้วยจรเข้, ท่านเจ้าคุณพระวินัยกิจโกศล (ตรี) เจ้าอาวาสวัดกัลยารมิตร, หลวงปู่พรหม (พระสุนทรมาจารป วัดกัลยาฯ ราชาแห่งพระนาคปรกใบมะขาม ที่ขึ้นชื่อกระฉ่อนในกระบวนพระชุดจิ๋วแต่แจ๋ว, หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค(ขณะนั้นหลวงปู่ปาน มีพรรษาอ่อนกว่าหลวงปู่บุญมาก)


วัดบางแก้วแหล่งชุมนุมผู้เยี่ยมยุทธสมัยหลวงปู่บุญครองวัด
     เป็นขุมข่ยแหล่งยอดพระคณาจารย์มักจะเป็นที่ประชุมของอาจารย์ดังทางจังหวัดนครปฐม-สมุทรสงครามและที่อื่นๆ ซึ่งจะพากันมาเยี่ยมเยื่ยนท่านอยู่เนื่องๆ เช่น หลวงพ่ออ๋อย หรือ พระครูถาวรสมณวงศ์ วัดไทร ธนบุรี, หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, พระครูปจฉิมทิศบริหาร (หลวงพ่อเกิด) วัดงิ้วราย นครปฐม, หลวงพ่อพา วัดระฆังฯ ธนบุรี, พระครูทักษิณานุกิจ (ผัน) วัดเทียนดัด นครปฐม, หลวงพ่อใย (เป็นลูกพี่ลูกน้อยกับหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม) วัดช้างใต้, หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง นครปฐม, หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ สมุทรสาคร, หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก นครปฐมฯลฯ


วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

64. ราคาพระกริ่งปวเรศ พิมพ์สมบูรณ์พูนสุข

ราคาพระกริ่งปวเรศ พิมพ์สมบูรณ์พูนสุขและพระกริ่งปวเรศพิมพ์อื่นๆ


มีหลายท่านพยายามสอบถามผู้เขียนราคากลางซื้อ-ขายที่เหมาะสมเปลี่ยนผู้ครอบครอง ควรจะอยู่ที่ราคาเท่าใด  ดังนั้นผู้เขียนจะใช้รูปแสดงศักดิ์ศรีราคาของพระกริ่งปวเรศหรือจักรพรรดิแห่งพระกริ่ง  ขออธิบายด้วยกราฟ  มีรายละเอียดของระยะเวลาช่างที่ 1 , 2, 3, 4 ดังรูป

ระยะที่ 1 สีน้ำเงิน

พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 สร้างเพื่อพระราชาหรือกษัตริย์ และชนชั้นขุนนาง โดยพระบรมวงศานุวงศ์เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างพระกริ่งปวเรศ  สร้างขึ้นตามวาระความสำคัญของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ผู้เขียนจะยกตัวอย่างกราฟราคาเฉพาะพระกริ่งปวเรศ พิมพ์สมบูรณ์พูนสุข

- เมื่อสร้างปลุกเสกเสร็จเรียบร้อย  ส่วนหนึ่งได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีกรรมฯ เสร็จเรียบร้อย พระกริ่งปวเรศส่วนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในพิธีกรรมซึ่ง ราชบัณฑิตและพราหมณ์นั่งประจำ 8 ทิศ  องค์พระกริ่งปวเรศฯ ทั้ง 8 ทิศส่วนหนึ่งจะถูกเก็บรักษาไว้ในกรุ...  บางองค์พราหมณ์และราชบัณฑิตจะนำกลับบ้านไปด้วย  และมีพระกริ่งส่วนหนึ่งแจกให้กับพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางต่างๆ  ส่วนที่เหลือถูกเก็บไว้ในกรุ...ทั้งหมด

- พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะเก็บแล้วเก็บจนลูกหลานพบเห็นก็ยังไม่รู้จัก  เมื่อวันเวลาผ่านไปประมาณ 100 ปี  พระกริ่งปวเรศ (สายวัง) เหล่านี้ ปกติบุคคลภายนอกไม่เคยเห็น  เมื่อออกสู่ตลาดเซียนตำราตีเป็นเก๊ กดราคาจากของสูงค่าต่ำลงเหมือนกราฟในระยะที่ 1 จนกระทั้งต่ำติดดินราคาเหลือเพียงหลักร้อย  คนไม่รู้ร่วมด้วยช่วยกันพูดสนุกสนาน

ระยะที่ 2 สีดำ

พระกริ่งปวเรศ(สายวัง) ได้ออกสู่ตลาดฯ  มีกลุ่มคนหลายๆกลุ่มพบ ตรวจสอบพุทธคุณ และขอบารมีพระฯท่านสงเคราะห์ตรวจสอบ  ทำให้ทราบว่าเป็นพระกริ่งปวเรศที่กล่าวถึงของแท้ มีพุทธานุภาพครอบจักรวาล  จึงเก็บแบบเงียบๆอยู่ประมาณ 3-4 ปี  จากรูปกราฟจะเห็นราคาสวิงขึ้นสวิงลง  เกิดจากกลุ่มคนที่รู้เหล่านี้ต่างแข่งขันกันเก็บ  บางกลุ่มที่รู้จักจากต้นตระกูลฯเมื่อพบเห็นทราบว่าเป็นพระกริ่งปวเรศ ที่คนโบราณนับถือ  และมีพุทธนุภาพครอบจักรวาบจึงสู้ราคา  มีตั้งแต่ 6 หลักถึงเกือบ 8 หลักที่เจ้าตัวซื้อแล้วยืนยันราคากับผู้เขียนและผู้ขายเป็นผู้บอกกล่าวว่าได้ขายไปในราคาดังกล่าวก็มี  ดังนั้นราคาช่วงระยะที่ 2 สีดำนี้ใกล้จะสุดทางของระยะ  ในมุมมองของผู้เขียนเวลาอันใกล้นี้ราคาจะเริ่มในระยะที่ 3 และต่อด้วยระยะที่ 4  ทั้งสองระยะนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่กาลเวลาเป็นผู้พิสูจน์

ราคายิ่งสูงเท่าใด  คนซื้อย่อมต้องลดน้อยลงตามลำดับ  

ผู้ครอบครององค์พระกริ่งปวเรศ สายวัง โดยเฉพาะ พิมพ์สมบูรณ์พูนสุข หากท่านใดคิดจะขาย  ผู้เขียนขอบอกท่านเหล่านั้นว่า "พระกริ่งปวเรศ สายวัง นี้เป็นพระกริ่งครอบจักรวาล" เรื่องพุทธพยากรณ์ และ ภัยพิบัติโลก ถ้าหากเกิดขึ้นจริงย่อมมีพุทธคุณช่วยเหลือท่านและครอบครัวของท่านจากหนักเป็นเบา  จากเบาเป็นปกติ  เก็บไว้เป็นสมบัติประจำตระกูลดีที่สุด  ยกเว้นท่านจะมีมากหลายองค์

 ด้วยการเป็นญาติธรรมที่ดีต่อกัน  เมื่อท่านเกิดมาท่านเอาอะไรมาด้วย และเมื่อท่านตายไป ท่านจะเอาอะไรไปได้บ้าง  มีพระเครื่องที่ดี...พบเห็นคนที่ไม่มี  อยากได้  แบ่งๆเขาไปเถอะ  สมบัติแบ่งกันชม

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

63. พระบรมสารีริกธาตุและพระเกศาธาตุเสด็จ

พระบรมสารีริกธาตุและพระเกศาธาตุเสด็จมาอยู่บนองค์พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 พ.ศ.2434

ผู้เขียนตรวจพบมี พระบรมสารีริกธาตุและพระเกศาธาตุเสด็จมาอยู่บนองค์พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 พ.ศ.2434 มีจำนวนมากมายหลายองค์(โดยเฉพาะองค์ที่ผ่านทำความสะอาดแล้ว) ดังนี้

1.พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 พ.ศ.2434 ที่ผู้เขียนห้อยอาราธนาทุกวันมีพระเกศาธาุตุเสด็จมีลักษณะเป็นเส้นสีขาวเล็กๆเส้นไม่ยาวมากมายเสด็จมาเกาะจับอยู่องค์พระกริ่งปวเรศฯ   รวมทั้งพระบรมสารีริกธาตุเริ่มเสร็จมาให้พบเห็นหลายองค์ลักษณะเป็นองค์สีขาวเล็กๆ

2. พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 พ.ศ.2434 ที่ผู้เขียนครอบครองเก็บรักษาไว้อีกจำนวนหนึ่ง  ได้มีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาเกาะจับองค์พระกริ่งปวเรศเกือบทุกองค์  มีลักษณะสีขาว

จึงแจ้งมาให้ทราบ

ท่านใดได้รับพระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 จากผู้เขียนหรือครูบาอาจารย์ของผู้เขียน หรือจากทางวัดฯที่ผู้เขียนถวายมอบให้เพื่อช่วยงานบุญของวัดต่างๆ หรืออาจจะได้รับมาจากแหล่งอื่นๆ โปรดระมัดระวังและตรวจสอบพระกริ่งปวเรศของท่านอาจจะมีพระบรมสารีริกธาตุและพระเกศาธาตุเสด็จมาอยู่บนองค์พระกริ่ง  อย่างได้ปัดทิ้งเป็นอันขาดเพราะจะเป็นการปรามาสโดยไม่รู้ตัว

หากพระกริ่งปวเรศของท่านใดสงสัยว่า  ใช่พระบรมสารีริกธาตุและหรือพระเกศาธาตุเสด็จมาเกาะจับองค์พระกริ่งปวเรศหรือไม่   ทำได้โดยวิธีให้สอบถามจากผู้รู้  หรือไม่ก็สอบถามจากพระฯ ขอพระฯท่านเมตตาสงเคราะห์ว่าใช่หรือไม่

องค์นี้เป็นของเพื่อนสมาชิกส่งมาขณะที่นำภาพมาลงในบล๊อกเจ้าตัวยังไม่ทราบว่ามีอะไรพิเศษ  องค์นี้ก้นติดแผ่นยันต์ทองคำ หน้าผากไม่มีหมุดทองคำ  ถ่ายรูปได้คมชัดจึงนำมาให้ชื่นชมบารมี บริเวณหน้าผากจะเห็นพระเกศาธาตุ  และมีพระบรมสารีริกธาตุธาตุสีขาวๆ เกาะอยู่องค์พระกระจัดกระจายหลายๆตำแหน่ง  บริเวณใกล้แผ่นปิดก้นทองคำ จะพบพระเกศาธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ

ด้านหลังองค์พระกริ่งปวเรศก็มีพระบรมสารีริกธาตุสีขาวๆเริ่มเสด็จมาเกาะอยู่บนผิวพระกริ่างฯ ในจำนวนที่ยังไม่มาก


วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

62. พระกริ่งปวเรศ จีวรลายดอกเนื้อเงิน

พระกริ่งปวเรศ จีวรลายดอกเนื้อเงิน หมุดเงินที่หน้าผากและจีวร  ก้นเนื้อเงิน พ.ศ.2434


โลหะส่วนประกอบหลักเป็นเนื้อเงินทั้งองค์  ซึ่งถือว่าเป็นองค์แรกที่ผู้เขียนได้พบ เม็ดกริ่งที่บรรจุอยู่ด้านในเป็นเม็ดกริ่งเหล็กไหล เนื้อเงินเป็นเนื้อเงินโบราณ


องค์ีนี้เป็น เนื้อสัมฤทธิ์ศักดิ์ โลหะธาตุที่นำมาผสมมีวรรณะสีผิวออกสีขาวหรือขาวจัด ลักษณะสีคล้ายสีเนื้อเงินโบราณ อายุผ่านมานับร้อยปีวรรณะสีผิวภายนอกกลับดำ แต่น่าเสียดายที่องค์นี้ได้ผ่านการขัดทำความสะอาดจึงทำให้ไม่เห็นสีผิวการกลับดำสนิท



ผศ.ณัฐนันต์  สิปปภากุล เอื้อเฟื้อภาพ

61. หลักการตลาดพุทธพาณิชย์ ที่นักสะสมวัตถุมงคลต้องรู้

บทความที่ 61 เป็นมุมมองเรื่องหลักการตลาดพุทธพาณิชย์ ที่นักสะสมวัตถุมงคลต้องรู้  เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงพฤติกรรมของตลาดวัตถุมงคลในภาพรวม  ซึ่งจะแตกต่างเป็นคนละกลุ่มกับนักสะสมวัตถุมงคลที่ชื่นชอบในศิลปะและศรัทธาด้านพุทธคุณ
1.วงจรชีวิตวัตถุมงคล
               วงจรชีวิตวัตถุมงคล(ผลิตภัณฑ์) หรือ product life cycle วัตถุมงคลในตลาดมีวิวัฒนาการอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไปตามวงจร อันเกิดจากความสามารถในการทำกำไรของวัตถุมงคลประเภทนั้นๆ
               ดังนั้นกลุ่มทุนที่ควบคุมตลาดจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารกลุ่มวัตถุมงคลฯเพื่อให้สอดคล้องกับ วงจรชีวิตช่วงต่างๆ ของวัตถุมงคลที่มีอยู่ในตลาดและที่ออกสู่ตลาดใหม่ๆ วัตถุมงคลฯที่ประสบความสำเร็จจะต้องทำเงินให้คุ้มกับต้นทุนในการลงทุนของวัตถุมงคลนั้นๆ และยังต้องมีกำไรเพียงพอต่อการลงทุนวัตถุมงคลใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะออกมาทดแทนวัตถุมงคลเก่าที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
               ความท้าทายอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไร? จึงจะรักษาส่วนแบ่งตลาดวัตถุมงคลให้ได้มากที่สุด โดยใช้ต้นทุนน้อยที่สุดภายใต้วงจรชีวิตที่ผันแปรไปของวัตถุมงคลที่แตกต่าง กัน
               วัตถุมงคลมีวงจรชีวิตของตัวเอง วงจรชีวิตดังกล่าวอาจแบ่งได้เป็น 4 ช่วงคือ
               1. ช่วงแนะนำวัตถุมงคล เป็นช่วงที่วัตถุมงคลได้รับการแนะนำสู่ตลาด
               2. ช่วงเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงที่มีวัตถุมงคลออกมาในตลาดมาก ผู้ซื้อมีความเชื่อมั่นสูงมีความต้องการสูง ผู้ลงทุนจะแข่งขันสู้ราคาก่อให้เกิดราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนการเป็นเจ้าของไปสู่ผู้ครอบครองที่มีทุนทรัพย์ในปริมาณที่มากเพื่อคาดหวังการเก็งกำไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต วงจรชีวิตของวัตถุมงคลในช่วงนี้จะมีของปลอมเก๊ออกมาระบาดมากมาย
               3. ช่วงอิ่มตัว เป็นช่วงที่ปริมาณวัตถุมงคลในตลาดเริ่มอิ่มตัว การซื้อขายเปลี่ยนมือและการปรุงแต่งวัตถุมงคลเริ่มถึงทางตัน และเกิดขึ้นน้อยครั้งลง การอิ่มตัวอาจจะเกิดจากวัตถุมงคลมีมากเกินไปหรือวัตถุมงคลขาดแคลนไม่เพียงพอต่อการหมุนเวียนของตลาด
               4. ช่วงถดถอย เป็นช่วงที่ปริมาณการซื้อขายของวัตถุมงคลในตลาดลดลง ซึ่งอาจเป็นเพราะมีวัตถุมงคลที่เกิดขึ้นใหม่ และมีความน่าสนใจออกมาแย่งลูกค้า หรือเกิดจากวัตถุมงคลมีราคาสูงมากเกินกำลังซื้อของผู้ที่ต้องการครอบครองจากนักสะสมกลุ่มใหญ่ของตลาดอีกทั้งมีของปลอมเก๊ระบาดมากมาย  จึงทำให้ตลาดไม่สนใจวัตถุมงคลนั้นอีกต่อไป
               เป็นที่ชัดเจนว่า วงจรชีวิตของวัตถุมงคลเป็นสิ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาในการวางกลยุทธ์และแผน การตลาดของนักสะสมวัตถุมงคลนั้นๆ แนวคิดดั้งเดิมมีอยู่ว่า วัตถุมงคลทุกประเภทมีวงจรชีวิตที่จำกัด ซึ่งหมายความว่า ในที่สุดวัตถุมงคลตัวนั้นจะต้องถูกแทนที่และหายไปจากตลาด แต่ยังมีแนวคิดอีกแนวคิดหนึ่งซึ่งเชื่อว่า วัตถุมงคลที่สามารถจะอยู่ยั่งยืนและไม่หายไป แต่จะกลายตัวไปเป็นวัตถุมงคลรูปแบบที่ไม่ตกยุคสมัย เช่นพระสมเด็จฯ พระกริ่งปวเรศ ฯลฯ
               จุดสำคัญอยู่ที่ว่า กลุ่มทุนในตลาดต้องการที่จะลงทุนวัตถุมงคลอะไร เพื่อที่จะยืดอายุวงจรของวัตถุมงคลเหล่านั้นไว้ในตลาดให้นานที่สุด
         สรุป  วัตถุมงคล กำไรงามๆในวันนี้ไม่ยอมปล่อยออก  ใครจะบอกได้ว่าวัตถุมงคลที่ตนเองสะสมไว้ ณ วันนี้หรืออดีตที่ผ่านมา  ต่อไปในอนาคต  ตลาดวัตถุมงคลจะมีผู้ซื้อต่อในราคาที่ขายได้เท่าราคาวันนี้ที่คิดว่าขายไม่ได้ราคาที่ถูกใจ

2. แผนภูมิการเติบโต
         จะทำให้เราสามารถแยกแยะวัตถุมงคลหลายๆ ชนิดที่เกิดขึ้นในตลาด โดยนักสะสมจะต้องเข้าใจถึงเรื่องการเติบโตของตลาด และส่วนแบ่งทางการตลาดวัตถุมงคลในตลาดแต่ละชนิด วัตถุมงคลที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงในตลาดที่มีอัตราการเติบโตช้า จะทำรายได้จากการซื้อขายได้มาก เช่น พระสมเด็จฯ พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 ที่มีปริมาณจำกัด(มีของน้อย)  นานๆเกิดการซื้อขายครั้งหนึ่ง  ราคาแพง  ผู้ซื้อต้องการ(อยากมาก)  ผู้ขายสามารถตั้งราคาได้สูง(กำไรมาก)
        
ในทางกลับกัน วัตถุมงคลที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดน้อย นักลงทุนที่สะสมวัตถุมงคลควรที่จะได้รับการพิจารณาอย่างรอบครอบ ควรจะลงทุนหรือไม่ เช่น วัตถุมงคลที่คนสนใจน้อยปริมาณการซื้อขายต่ำ ของมีมาก  นักลงทุนซื้อมาแล้วจะขายให้กับใคร  เพราะการซื้อขายในตลาดแทบจะไม่มีความต้องการ
        
มีความเป็นไปได้น้อยมากที่นักลงทุนวัตถุมงคลจะโชคดีได้ครอบครองวัตถุมงคลที่ตลาดมีผู้ซื้อและผู้ขายที่ต้องการมากแต่สินค้ามีน้อย ที่นักสะสมส่วนใหญ่ในตลาดวัตถุมงคลมีความต้องการสูงมาก และให้ผลกำไรตอบแทนสูงพร้อมๆ กัน
         สรุป ความฝันก็คือความฝัน การซื้อขายเพียงแค่ ไม่กี่ครั้งจะทำให้เป็นเศรษฐีชั่วเวลาข้ามคืนมีสักกี่คน  ที่เป็นข่าวมีแต่ของแพงขายแพงมากกว่าเดิม  แต่ไม่ยักกะพบ  ของถูกหลักสิบหลักร้อยขายได้เลข 8 หลักชั่วเวลาข้ามคืน  หลักการค้าว่าด้วยเรื่องผลกำไรและเป็นสินค้าที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างไรที่ตลาดต้องการ  แต่ไม่ได้ว่าด้วยเรื่องวัตถุชิ้นนั้นเป็นของแท้หรือไม่  จึงได้พบเห็นและได้ยินข่าวบ่อยๆ เศรษฐีมีเงินถุงเงินถังมักแขวนห้อยพระของเก๊เรียนแบบ  เซียนใหญ่ ถูกลูกค้าคืนสินค้า  เซียนใหญ่ ถูกลูกค้ากระทืบ
        
3.  แรงกระทบทั้ง 5
               สภาวะแวดล้อมในการลงทุนสะสมวัตถุมงคลในเชิงพุทธพาณิชย์ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาในการวางแผนกลยุทธ์ของนักลงทุน การวางแผนกลยุทธ์จะไม่ประสบความสำเร็จ หากปราศจากการวิเคราะห์ สภาวะแวดล้อม ความรุนแรงของการแข่งขัน และวัตถุมงคลอะไรที่มีความนิยมในตลาด
               การวิเคราะห์แรงกระทบทั้ง 5 จะช่วยให้เข้าใจถึงโครงสร้าง แนวโน้มหลัก และแรงกระทำต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรในธุรกิจพุทธพาณิชย์ ช่วยให้ทราบถึงจุดแข็งและจุดอ่อนที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนรายย่อยและรายใหญ่ เห็นภาพแนวโน้มและภัยคุกคามในวงการนักสะสมวัตถุมงคล และทราบว่าวงการวัตถุมงคลชนิดใดกำลังจะโตขึ้นหรือถดถอยลง
               แรงกระทบทั้ง 5 ที่กล่าวถึงคือ 1. ผู้สร้างวัตถุมงคลเพื่อขาย(ทำบุญ) 2. ผู้ซื้อ(เช่า)วัตถุมงคล 3. ผู้สร้างวัตถุมงคลรายใหม่ 4. วัตถุมงคลอื่นที่จะมาทดแทน และ 5. วัตถุมงคลที่หมุนเวียนในตลาดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
               โดยปกติถ้าแรงกระทบทั้ง 5 มีค่าต่ำ แสดงว่าวัตถุมงคลรุ่นนั้นน่าสนใจลงทุน ในทางกลับกัน ถ้าแรงทั้ง 5 มีค่าสูง แสดงว่าวัตถุมงคลรุ่นนั้นมีการแข่งขันสูง มีความเสี่ยงสูงไม่น่าลงทุน
         สรุป ที่พบเห็น นักลงทุนส่วนใหญ่สะสมวัตถุมงคลแบบมวยวัด  ยังไม่เข้าใจถึงเรื่องแรงกระทบที่เกิดขึ้นในวงจรพุทธพาณิชย์
         
4. วัตถุมงคลที่นักสะสมต้องการ
         
วัตถุมงคลอะไรเป็นที่ต้องการของนักสะสมส่วนใหญ่ของตลาด ความต้องการของนักสะสมวัตถุมงคลมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา นักลงทุนฯที่ดีควรมีการปรับเปลี่ยนซื้อมาขายไป ในวัตถุมงคลที่ตนเองครอบครอง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้วัตถุมงคลที่ตนเองสะสมเกิดการขาดทุน  เมื่อถึงช่วงตลาดถดถอย  ตลาดไม่นิยมจะขายให้ใครก็ไม่มีใครต้องการ  เมื่อพบผู้ต้องการ ขายได้ก็ไม่คุ้มทุนที่ได้ลงทุนจากราคาที่ซื้อมา
        
วัตถุมงคลที่ลงทุนสะสมควรจะตอบสนองต่อประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของผู้ที่จะซื้อต่อ ประกอบด้วย
·       การมองเห็นธาตุวัตถุที่ดีเยี่ยม เช่น มวลสาร
·       ตำราอ้างอิง จากหนังสือ หรือ จากคำบอกเล่าที่เชื่อถือได้
·       มีประวัติที่น่าเชื่อถือ
·       อ้างอิงได้ทางวิทยาศาสตร์และสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากผู้ทรงฌาน
·       สามารถอธิบายข้อดีของการสะสมวัตถุมงคลรุ่นดังกล่าว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะต้องสามารถก่อให้เกิดรายได้ และต้องเข้าใจเรื่องวัตถุมงคลที่สะสมมีของปลอมเก๊เรียนแบบ
         สรุป นักสะสมวัตถุมงคลส่วนใหญ่สะสมตามความชอบของตนเอง มีแล้วทำเป็นเสียดาย ขายไปกลัวหากลับมาไม่ได้ จะขายทั้งทีคิดมากจนหัวแทบล้าน  ส่วนใหญ่นักสะสมวัตถุมงคลมีหลายสิบชิ้น(องค์)ขึ้นไป
มีปัญญาแขวนห้อยคอได้หมดไหม
               รู้ทั้งรู้ว่าวัตถุมงคลเหล่านี้เป็นสมบัตินอกกายเป็นสมบัติของโลก  ตายไปก็เอาไปไม่ได้สักชิ้น  มักจะทำให้เงินทุนจมเสียหายมากมาย  และชอบเสี่ยงดวงจับของถูกหวังโชคดีได้ของแท้  ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน คือ ไม่เข้าใจการหมุนรอบของเงินทุน เสียเวลาและพลาดโอกาสในการลงทุนด้านอื่นๆที่อาจมีโอกาสประสบความสำเร็จในอนาคต ไม่รู้จักระบบการสร้างให้เงินทุนเกิดการหมุนเวียน ที่ก่อให้เกิดผลกำไรของเงินในแต่ละรอบ  จากทุนและเวลาที่ตนเองต้องลงทุนไปในธุรกิจหนึ่งๆ การลงทุน คือ การคาดหวังที่ต้องการกำไร  แม้นแต่ห้าง คาร์ฟูร์ ที่ลงทุนในประเทศไทย  เมื่อถึงเวลาอิ่มตัวเติมโตเต็มที่  ฝรั่งยังฉลาดขายกิจการทิ้งเพื่อเอาเงินก้อนใหญ่ไปลงทุนเพื่อสร้างโอกาสที่ดีกว่าเดิม นี้คือ กลยุทธ์ใช้ทุนต่อทุน  ไม่ใช่กลยุทธ์ลงทุนด้วยวิธีลงทุนไม่ยอมถอนทุน
5. กลยุทธ์ราคา
         
ราคาที่ลงทุนวัตถุมงคลไป  เมื่อขายออกจะต้องมีความน่าสนใจของผลกำไร  
         
ราคาวัตถุมงคลฯแพงขึ้น มักเป็นสาเหตุให้ความต้องการซื้อวัตถุมงคลของนักลงทุนลดน้อยลง นักสะสมวัตถุมงคลจะต้องเข้าใจเรื่องการทำกำไรสูงสุดจากการขายได้อย่างไร?
               ผู้ซื้อหรือนักสะสมวัตถุมงคลเกินกว่าร้อยละ 90 ต่างคาดหวังผลกำไรที่ได้ซื้อมาเพื่อขายต่อมีกำไรทั้งสิ้น  มีส่วนน้อยมากที่ไม่ได้คาดหวังทางกำไร  ซื้อมาเพื่อสะสมและต้องการเพื่อคุ้มครองหรือเพื่อบูชา  ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่นักสะสมทุกคนจะขายได้ราคาสูงสุดของตลาด  ผู้เขียนเชื่อว่านักลงทุนด้านวัตถุมงคลซื้อมาขายต่อได้ทุกราคาที่มีกำไร ไม่ว่าจะกำไรมากหรือว่าน้อย  เพราะโอกาสที่จะพบลูกค้าที่มีกำลังซื้อและมีความต้องการสูงมีน้อยมาก  ส่วนใหญ่ที่ซื้อกันในตลาดวัตถุมงคลต่างคาดหวังกำไรกันหมดทั้งสิ้น โชคดีกำไร 100% ก็นับว่ามากแล้ว หรือ ท่านอยากจะเป็นนักลงทุนพุทธพาณิชย์ประเภทรวยข้ามคืน (จะมีสักกี่คนที่โชคดีเหมือนกับถูกหวยรางวัลที่1)
         
6. ช่องทางการจำหน่าย
         
ในเรื่องของช่องทางการจำหน่าย เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในการลงทุนวัตถุมงคลเชิงพุทธพาณิชย์ มีความเกี่ยวพันกับเรื่องราคาและการทำอย่างไรจึงจะมีผู้ซื้อรู้จักและต้องการซื้อ การเลือกสถานที่หรือช่องทางการจำหน่ายที่เหมาะสม เป็นหนึ่งในหลักการลงทุนที่นักสะสมวัตถุมงคลสามารถเอาชนะคู่แข่งที่ไม่สามารถ บริหารช่องทางการจำหน่ายที่ดีได้
         
ในการที่จะทำความเข้าใจในเรื่องของการเลือกช่องทางจำหน่าย แบ่งเป็น 3 หัวข้อหลักที่เกี่ยวข้องคือ
         
1. การขายและช่องทางการตลาด นักลงทุนวัตถุมงคลจะต้องมีแผนการจำหน่ายซึ่งระบุถึงราคากำไรที่เหมาะสมต่อปริมาณที่ทำการขายออกไปในแต่ละครั้ง
         
2. การปล่อยหรือขายวัตถุมงคล เป็นกระบวนการในการนำวัตถุมงคลที่อยู่ในครอบครองไปสู่ผู้ต้องการซื้อต่อ และยังรวมการไหลของข้อมูลที่จำเป็นในการอ้างอิงถึงวัตถุมงคลที่จะทำการขาย มีที่ไปที่มาอย่างไรในทุกๆด้าน  เช่น ประวัติการครอบครองฯลฯ
         
3. การบริการลูกค้า ด้านของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ ในการส่งมอบวัตถุของแท้เชื่อถือได้ มีการรับประกันวัตถุมงคลที่ขายออกไป
         
7. การส่งเสริมการขาย
         
การส่งเสริมทางการขายคือ การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ หรือกลุ่มเป้าหมายที่อาจจะเป็นผู้ซื้อในอนาคตที่ต้องการวัตถุมงคลที่เป็นของแท้ จะทำให้ภาพลักษณ์ของผู้ขาย มีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของผู้ซื้อ นำไปสู่การซื้อเพิ่มและแนะนำลูกค้าปากต่อปาก
         
ความคิดริเริ่มวัตถุมงคล เรื่อง ราคา และสถานที่จัดจำหน่าย จำเป็นจะต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้สอดคล้องกับจุดหมายเชิงกลยุทธ์ของนักลงทุน จะต้องเข้าใจว่าตนเองเป็นนักสะสมลงทุน ประเภทใด เช่น รายย่อย รายใหญ่ หรือ ผู้ควบคุมตลาด 
         
ปกติราคาสินค้าจะประกอบด้วยราคาขายส่ง  ราคาขายปลีก  ราคาขายเหมาฯ  ซึ่งราคาต้นทุนของแต่ละประเภทของนักลงทุนย่อมไม่เท่ากัน  นักลงทุนที่สะสมวัตถุมงคลส่วนใหญ่ไม่เข้าใจพฤติกรรมของตลาดวัตถุมงคล  เมื่อตนเองลงทุนวัตถุมงคลไปชิ้นหนึ่ง  ต่างคาดหวังต้องการขายราคาขายปลีกที่นักลงทุนสร้างกลไกของตลาดเอาไว้  เมื่อนำไปเพื่อที่จะทำการขายต่างผิดหวังเนื่องจากขายไม่ได้ราคา 
               ผลกำไรของผู้ขายส่ง ผู้ขายปลีกและผู้ควบคุมราคาตลาด ทุกรายต่างทำการซื้อเพื่อหวังกำไรสูงๆ  มักเกิดจากลักษณะที่เรียกว่า ซื้อมาราคาถูกๆ(จับหมู) แล้วขายต่อเพื่อทำกำไร  หากผู้ขายมือสุดท้ายซื้อไปเพื่อขายต่อ  เกิดซื้อไปแล้วขายไม่ได้เนื่องจากราคาสูงผ่านไปสักหลายๆ ปี(พบเห็นได้จากสินค้าในเว็บฯของรายใหญ่)  ทุนที่ลงทุนไปย่อมเกิดความเสียหายทุนจม  อย่าไปคิดว่านักลงทุนรายใหญ่จะมีเงินสดๆในบัญชีมากมายเพื่อรอซื้อวัตถุมงคลจากนักลงทุนรายย่อย  วัตถุมงคลที่รายย่อยนำไปเพื่อคาดหวังจะจำหน่ายกับร้านฯดังกล่าว  คุณเคยคิดบ้างไหมในร้านฯนั้นมีวัตถุมงคลเหมือนกับที่ท่านนำไปขายมีอยู่กี่ชิ้น(องค์)ที่รอการขายมานานแล้วที่ยังไม่พบผู้ซื้อ ของเก่ายังขายไม่ได้ ใครที่ไหนจะซื้อเข้ามาเก็บเพื่อให้ทุนจมเพิ่มมากขึ้น
               เมื่อคิดจะเป็นนักลงทุนพุทธพาณิชย์ จำเป็นจะต้องสร้างช่องทางจำหน่ายเพื่อส่งเสริมการของของตนเองประกองด้วย 3 ช่องทาง คือ การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ และการส่งเสริมในการขาย
         
8. การวิเคราะห์งบกระแสเงินสด
         
กระแสเงินสดมีความสำคัญต่อการลงทุนในเชิงธุรกิจพุทธพาณิชย์เป็นอย่างยิ่ง หลายคนคงสงสัยว่า เพราะเหตุใดธุรกิจมีกำไรแต่ไม่มีสภาพคล่องเลย เป็นเพราะกำไรเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชี แต่ในความเป็นจริง นักลงทุนสะสมวัตถุมงคลต้องใช้เงินสดในการชำระค่าสินค้า(วัตถุมงคลที่อยู่ในครอบครองทั้งหมด)แม้กระทั่งเงินเดือนพนักงาน(เดินสายหาพระเข้าร้าน) ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าเช่าร้านฯ(แผง) ค่าใช้จ่ายประจำเดือน
         
การวิเคราะห์งบกระแสเงินสด ทำให้ทราบถึงการได้มาและใช้ไปของเงินสด และยังช่วยอธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับธุรกิจ โดยจะมีการนำปัจจัยที่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด อาทิเช่น ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้จ่ายออกไปในรูปของเงินสดจริง ค่าเสื่อมราคาที่ซื้อมาได้ของปลอมเก๊
         
ปัจจัยสำคัญที่ใช้วัดความเข้มแข็งทางการเงิน ได้แก่ ยอดขาย ความสามารถในการทำกำไร และกระแสเงินสด
         
ซึ่งตัวกระแสเงินสดนี้จะส่งผลทันทีต่อกิจการ เมื่อกิจการเริ่มมีปัญหาทางการเงิน ในฐานะเจ้าของกิจการ หากพบว่าเริ่มมีการฝืดเคืองของกระแสเงินสด อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าธุรกิจกำลังมีปัญหา

9. การลดต้นทุน
         
การลดต้นทุนยังคงเป็นสิ่งสำคัญของทุกองค์กร นักธุรกิจจำนวนมากมักกล่าวว่า
ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจคือการทำให้ต้นทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง
               นักสะสมวัตถุมงคลที่ชาญฉลาดจะต้องปล่อยของที่ลงทุนสะสมออกมาบ้าง  เพื่อลดต้นทุน  หากต้นทุนเป็นศูนย์  นั่นย่อมเป็นสิ่งที่นักสะสมวัตถุมงคลสามารถจะควบคุมได้ ในขณะที่การลดต้นทุนมีผลกำไรกลับมามีกำไรอีกครั้ง ทำได้โดยการนำเอาวัตถุมงคลที่มีสะสมอยู่แล้วขายออกให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุด และการลดต้นทุนก็เป็นรากฐานที่สำคัญของทุกธุรกิจ

นักลงทุนวัตถุมงคลที่ขาดศีลธรรม
            ผู้เขียนได้พบเห็นเซียนใหญ่ของเมืองไทยหลายต่อหลายคน  ทำธุรกิจในลักษณะจับหมู  หาคนที่จะซื้อของแพงแล้วขายแพงนั้นยาก  มีแต่จับหมูเพื่อขายของแพงทั้งสิ้น
               ที่ร้ายสุดๆ ไม่มีเงินซื้อของแท้กลับไปตีวัตถุมงคลของบุคคลอื่นว่าเป็นของไม่เหมือน ไม่ใช่ ไม่แท้  ทั้งๆที่จริงแล้วเป็นของแท้  ซึ่งสาเหตุใหญ่เกิดจากเซียนเหล่านั้นมีสินค้าอยู่ในร้านฯของตนเองยังขายไม่ออก  และบางครั้งเซียนฯท่านนั้นก็ไม่มีเงินที่สามารถจะซื้อต่อจากลูกค้าท่านอื่นได้
               ที่แย่สุดๆ คือ เซียนใหญ่ที่ทำตัวไม่เหมาะสมกับภาพลักษณะของคนในสังคมที่ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ  เป็นศิษย์ใกล้ชิดพระเกจิฯดังในอดีตทางภาคตะวันออก  กลับสร้างความเสื่อมเสียให้กับครูบาอาจารย์  ตีวัตถุมงคลอาจารย์ของตนเองเป็นของเก๊ปลอมเรียนแบบ  สร้างเรื่องราวเท็จขึ้นมาให้น่าเชื่อถือ สาเหตุเนื่องมาจากกลุ่มของตนเองได้สร้างของเก๊ปลอมทดแทนของจริงที่ครูบาอาจารย์ของตนเองได้อธิฐานจิตเอาไว้  หากยอมรับว่าใช่ของจริง สิ่งที่ตนเองทำของเก๊ปลอมไว้หลอกขายให้กับลูกค้าที่เชื่อมั่นในพุทธคุณ ของครูบาอาจารย์ฯตนเอง  (ที่หลงเชื่อ)จะเกิดปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ  จึงเลือกทางผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก  น่าเศร้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ