พูดถึงบาตรน้ำมนต์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ หรือ เมื่อสมัยก่อนสิ้นพระชนชีพมีพระนามว่า "พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์"
พระเกจิอาจารย์ในสมัยอดีตจนถึงยุคปัจจุบันมักจะมีบาตรน้ำมนต์ส่วนตัวทั้งสิ้น ดังนั้น "พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์" ก็มีบาตรน้ำมนต์ดังกล่าวเช่นกัน
บาตรน้ำมนต์ชุดนี้เป็นของ "พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์" ได้ตกทอดสืบต่อๆกันมา ภายหลังอยู่ในการครอบครองของ "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)" และตกทอดถึง คุณหญิงแม้น สุนทรเทพกิจจารักษ์ และสืบทอดมาถึงทายาท
เจ้าของผู้ครอบครองได้อนุญาตให้นำภาพบาตรน้ำมนต์ของ "พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์" มาให้ชื่นชมเป็นวิทยาทาน บรรยายอย่างไรก็สู้เห็นภาพแล้วจินตนาการด้วยตนเองดีกว่านะครับ
รูปที่ 1 ด้านหน้าบาตรน้ำมนต์ "พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์" บาตรน้ำมนต์ชุดนี้อธิฐานจิตครั้งแรก พ.ศ.2428 แต่จารึกไว้ รศ.110 (พ.ศ.2434)
รูปที่ 2 ซ้ายมือบาตรน้ำมนต์ กลางฝาครอบน้ำมนต์ ขวามือฐานวางบาตรน้ำมนต์
รูปที่ 3 ด้านในบาตรน้ำมนต์ เห็นกันจะๆไปเลยว่า บาตรน้ำมันต์ของสมเด็จฯกรมพระยาปวเรศฯ หลวงปู่แท้ๆ เป็นเช่นไร รูปนี้แสดงให้เห็นเทียนที่ฉาบผนังของบาตรน้ำมนต์และเหรียญทำน้ำมนต์ 2 เหรียญ อีกทั้งด้านล่างพระกริ่งปววเรศ... อยู่บนฐานกลีบบัวงดงามยิ่งนัก
รูปที่ 4 เหรียญทำน้ำมนต์ที่อยู่ในบาตรน้ำมนต์จะมีอยู่ 3 เหรียญ สร้างอธิฐานจิต พ.ศ.2434
รูปที่ 5 และ รูปที่ 6 พระกริ่งปวเรศ พิมพ์"สมบูรณ์พูนสุข" สร้างวาระ พ.ศ.2411 ประทับอยู่ที่ก้นบาตรน้ำมนต์บนฐานดอกบัว
***ยังมีรูปรายละเอียดอีกหลายด้านหลายมุมมอง มีอีกหลายรูปที่ได้ถ่ายรูปไว้***
ลิงค์...พระเครื่องทายาท...สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
บาตรน้ำมนต์ชุดที่ 2 เป็นของสมาชิกธรรมทางภาคเหนือได้ส่งรูปมาเป็นวิทยาทาน
- บาตรน้ำมนต์ชุดนี้อดีตเคยเป็นบาตรน้ำมนต์ที่ใช้ประกอบพระราชพิธีฯสำคัญต่างๆในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
บาตรน้ำมนต์ชุดเดียวกันกับชุดที่ 2 ผู้ครอบครองได้จ้างช่างที่ร้านทอง ทำความสะอาดนภายอกของบาตรน้ำมนต์เผยให้เห็นวรรณะสีผิวภายในที่สวยงดงามเมื่อ 120 ปีที่ผ่านมา ใช้เวลาขัดเช็ดถูทำความสะอาดถึง 1 สัปดาห์จึงได้เห็นเป็นประการเช่นนี้แล ผู้เขียนลงความเห็นว่าเสียของเก่าแต่ได้ความใหม่ หุหุหุ
ใครมีบาตรน้ำมนต์เก่าๆ มีอายุหลายสิบปีถึงหลายร้อยปี มักจะทำใจไม่ได้กับการที่จะนำน้ำมนต์ที่อธิฐานจิตเสร็จแล้วนำมาดื่มกินจากในบาตรน้ำมนต์ เมื่อทำการขัดถูความเก่าก็จะเสียไป หากทำใจได้ก็ไม่เป็นไร หากทำใจไม่ได้พระพุทธองค์...ท่านได้กล่าวไว้ดังนี้ครับ
- น้ำมนต์ที่พระ...ทำให้เสร็จแล้ว อนุญาตให้นำไปต้มแล้วนำมาดื่มกินได้ ใช้ได้เหมือนกับที่ไม่ได้นำไปต้มเช่นเดียวกัน
- บาตรน้ำมนต์หลายๆใบมักมองแล้วมีสีดำ และมีสีออกเขียวๆ พระฯท่านก็จะใช้เทียนเคลือบไว้อีกชั้นหนึ่ง น้ำมนต์ที่ทำเสร็จมักจะมีกลิ่นของเทียนและน้ำตาเทียนเป็นเรื่องปกติ เมื่อมีน้ำตาเทียนแก้ไขได้ไม่ยาก ให้นำที่กรองทำการกรองออก รวมทั้งนำไปต้มเพื่อฆ่าเชื้อโรคยิ่งทำให้มีความมั่นใจว่าน้ำสะอาดจริง นำน้ำมนต์ที่ต้มใส่ขวดบรรจุไว้ใส่ตู้เย็นทานเป็นน้ำเย็นสบายชื่นใจ อีกทั้งเป็นการรักษาโรคภัยไข้ทุกชนิด ยกเว้นโรคกรรม
- ข้อสำคัญก่อนดื่นน้ำพุทธมนต์ต้องมีความเชื่อ และอธิฐานจิตบอกกล่าวทุกครั้งเพื่อเป็นการใช้จิตสื่อถึงจิต
พระเกจิอาจารย์ในสมัยอดีตจนถึงยุคปัจจุบันมักจะมีบาตรน้ำมนต์ส่วนตัวทั้งสิ้น ดังนั้น "พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์" ก็มีบาตรน้ำมนต์ดังกล่าวเช่นกัน
บาตรน้ำมนต์ชุดนี้เป็นของ "พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์" ได้ตกทอดสืบต่อๆกันมา ภายหลังอยู่ในการครอบครองของ "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)" และตกทอดถึง คุณหญิงแม้น สุนทรเทพกิจจารักษ์ และสืบทอดมาถึงทายาท
เจ้าของผู้ครอบครองได้อนุญาตให้นำภาพบาตรน้ำมนต์ของ "พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์" มาให้ชื่นชมเป็นวิทยาทาน บรรยายอย่างไรก็สู้เห็นภาพแล้วจินตนาการด้วยตนเองดีกว่านะครับ
รูปที่ 1 ด้านหน้าบาตรน้ำมนต์ "พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์" บาตรน้ำมนต์ชุดนี้อธิฐานจิตครั้งแรก พ.ศ.2428 แต่จารึกไว้ รศ.110 (พ.ศ.2434)
รูปที่ 2 ซ้ายมือบาตรน้ำมนต์ กลางฝาครอบน้ำมนต์ ขวามือฐานวางบาตรน้ำมนต์
รูปที่ 3 ด้านในบาตรน้ำมนต์ เห็นกันจะๆไปเลยว่า บาตรน้ำมันต์ของสมเด็จฯกรมพระยาปวเรศฯ หลวงปู่แท้ๆ เป็นเช่นไร รูปนี้แสดงให้เห็นเทียนที่ฉาบผนังของบาตรน้ำมนต์และเหรียญทำน้ำมนต์ 2 เหรียญ อีกทั้งด้านล่างพระกริ่งปววเรศ... อยู่บนฐานกลีบบัวงดงามยิ่งนัก
รูปที่ 4 เหรียญทำน้ำมนต์ที่อยู่ในบาตรน้ำมนต์จะมีอยู่ 3 เหรียญ สร้างอธิฐานจิต พ.ศ.2434
รูปที่ 5 และ รูปที่ 6 พระกริ่งปวเรศ พิมพ์"สมบูรณ์พูนสุข" สร้างวาระ พ.ศ.2411 ประทับอยู่ที่ก้นบาตรน้ำมนต์บนฐานดอกบัว
***ยังมีรูปรายละเอียดอีกหลายด้านหลายมุมมอง มีอีกหลายรูปที่ได้ถ่ายรูปไว้***
ลิงค์...พระเครื่องทายาท...สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
บาตรน้ำมนต์ชุดที่ 2 เป็นของสมาชิกธรรมทางภาคเหนือได้ส่งรูปมาเป็นวิทยาทาน
- บาตรน้ำมนต์ชุดนี้อดีตเคยเป็นบาตรน้ำมนต์ที่ใช้ประกอบพระราชพิธีฯสำคัญต่างๆในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
รูปกลางแสดงรูปบาตรน้ำมนต์ทั้งชุด
รูปบนแสดงพระกริ่งปวเรศอีกพิมพ์หนึ่งที่อยู่ก้นบาตรน้ำมนต์
รูปล่าง เผยให้เห็นเหรียญทำน้ำมนต์ บาตรน้ำมนต์ชุดเดียวกันกับชุดที่ 2 ผู้ครอบครองได้จ้างช่างที่ร้านทอง ทำความสะอาดนภายอกของบาตรน้ำมนต์เผยให้เห็นวรรณะสีผิวภายในที่สวยงดงามเมื่อ 120 ปีที่ผ่านมา ใช้เวลาขัดเช็ดถูทำความสะอาดถึง 1 สัปดาห์จึงได้เห็นเป็นประการเช่นนี้แล ผู้เขียนลงความเห็นว่าเสียของเก่าแต่ได้ความใหม่ หุหุหุ
ใครมีบาตรน้ำมนต์เก่าๆ มีอายุหลายสิบปีถึงหลายร้อยปี มักจะทำใจไม่ได้กับการที่จะนำน้ำมนต์ที่อธิฐานจิตเสร็จแล้วนำมาดื่มกินจากในบาตรน้ำมนต์ เมื่อทำการขัดถูความเก่าก็จะเสียไป หากทำใจได้ก็ไม่เป็นไร หากทำใจไม่ได้พระพุทธองค์...ท่านได้กล่าวไว้ดังนี้ครับ
- น้ำมนต์ที่พระ...ทำให้เสร็จแล้ว อนุญาตให้นำไปต้มแล้วนำมาดื่มกินได้ ใช้ได้เหมือนกับที่ไม่ได้นำไปต้มเช่นเดียวกัน
- บาตรน้ำมนต์หลายๆใบมักมองแล้วมีสีดำ และมีสีออกเขียวๆ พระฯท่านก็จะใช้เทียนเคลือบไว้อีกชั้นหนึ่ง น้ำมนต์ที่ทำเสร็จมักจะมีกลิ่นของเทียนและน้ำตาเทียนเป็นเรื่องปกติ เมื่อมีน้ำตาเทียนแก้ไขได้ไม่ยาก ให้นำที่กรองทำการกรองออก รวมทั้งนำไปต้มเพื่อฆ่าเชื้อโรคยิ่งทำให้มีความมั่นใจว่าน้ำสะอาดจริง นำน้ำมนต์ที่ต้มใส่ขวดบรรจุไว้ใส่ตู้เย็นทานเป็นน้ำเย็นสบายชื่นใจ อีกทั้งเป็นการรักษาโรคภัยไข้ทุกชนิด ยกเว้นโรคกรรม
- ข้อสำคัญก่อนดื่นน้ำพุทธมนต์ต้องมีความเชื่อ และอธิฐานจิตบอกกล่าวทุกครั้งเพื่อเป็นการใช้จิตสื่อถึงจิต