วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

144. พระสมเด็จ วังหลวง ฝังลูกปัด พ.ศ.2397

พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง

        ลูกปัดที่ฝังเป็นลูกปัดโบราณที่นำเข้าจากประเทศจีน  มีสีสดงดงามหลากสี  ลูกปัดความหมายที่ใส่ในองค์พระ...ความเชื่อของคนจีนโบรานเป็นวัตถุมงคลที่ช่วยปัดเป่าอุปสักสิ่งไม่ดีต่างๆให้ออกไป และดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามา
        ความแรงพุทธคุณ(เดิมๆ) 12.5 เท่า (เมื่อเปรียบเทียบกับพระสมเด็จทั่วๆไปที่สมเด็จโตอธิษฐานจิต)
        แม่พิมพ์สมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัดออกแบบโดยช่างจีนแมนจูที่มาช่วยราชสำนักในสมัยรัชกาลที่ 4

รูปที่ 1 พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง รูปนี้ใช้แสงแฟช เพื่อให้เห็นสีของทองคำเปลวโบราณสีเหลืองสุกสวยงาม และลูกปัดโบรานหลากสีสะท้อนแสงสดใส


144101 พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง


144102 พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง

 

144103 พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง



พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4   วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง 

รูปที่ 2 พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4 สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง รูปนี้ใช้แสงแฟช เพื่อให้เห็นสีของทองคำเปลวโบราณสีเหลืองสุกสวยงาม และลูกปัดโบรานหลากสีสะท้อนแสงสดใส

     - องค์พระ...ตรงกลางรูปพระมหามงกุฏ  
     - ตรงกลางรูปครูฑใช้แทนสัญญาลักษณ์ของพระเจ้าแผ่นดิน
     - รูปฉัตร บริวารขนาบข้าง
     - มีรูปองค์พระ...อยู่ใต้มหามงกุฏอยู่เหนือพญาครุฑ
***สรุปโดยรวม พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัดนี้ สร้างพิมพ์นี้เพื่อเป็นสือให้ทราบว่าเป็นพระที่สร้างโดยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รูปที่ 3 พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4 เรียกว่า พระราชลัญจกรพระมหามงกุฎ ลักษณะเป็นรูปกลมรี ลายกลางเป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฎ อันเป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า "มงกุฎ" ซึ่งเป็นศิราภรณ์สำคัญของพระมหากษัตริย์ อยู่ในเครื่องเบญจราชกุธภัณฑ์ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้างที่ริมขอบทั้งสองข้าง มีพานทองสองชั้นวางพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้าง หนึ่ง สมุดตำราข้างหนึ่ง รูปพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรนี้มาจากฉายาเมื่อทรงผนวชว่า "วชิรญาณ" ส่วนสมุดตำรามาจากเหตุที่ได้ทรงศึกษาเชี่ยวชาญในทางอักษรศาสตร์และดาราศาสตร์ องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลมรีรูปไข่แนวนอน กว้าง 5.5 เซนติเมตร ยาว 6.8 เซนติเมตร

รูปครุฑ 
        รูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์เรียกว่า ธงมหาราช เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 ธงมหาราชนี้เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใดแสดงว่าพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น 
        ครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงมีอยู่ 3 ลำ คือ เรือครุฑเหินเห็จ เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑ  สีแดงยุดนาค เรือครุฑเตร็จไตรจักร เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีชมพูยุดนาค และ เรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ
        นอกจาก “ตราครุฑ” จะปรากฏในส่วนราชการต่าง ๆ แล้ว ภาคเอกชนก็สามารถรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราครุฑหรือตราแผ่นดินใน กิจการได้ด้วย โดยเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ 5 ซึ่งเดิมเป็นตราอาร์ม โดยมีข้อความประกอบว่า “โดยได้รับพระบรมราชานุญาต” ต่อมาในรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนตราแผ่นดินเป็นตราพระครุฑพ่าห์ การพระราชทานตรานี้แต่เดิมถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานตามพระราช อัธยาศัย ผู้ได้รับนอกจากจะเป็นช่างหลวง เช่น ช่างทอง ช่างถ่ายรูป เป็นต้นแล้วก็มักจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้ากับราชสำนัก และเป็นประโยชน์ต่อราชการงานแผ่นดิน

144104 พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4   วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง 

พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด รูปเหมือนสมเด็จโตซุ้มระฆัง วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง 

รูปที่ 4 พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด รูปเหมือนสมเด็จโตซุ้มระฆัง วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง รูปนี้ใช้แสงแฟช เพื่อให้เห็นสีของทองคำเปลวโบราณสีเหลืองสุกสวยงาม และลูกปัดโบรานหลากสีสะท้อนแสงสดใส
     - ตรงกลางรูปเหมือนตัวแทนสมเด็จโต 
     - ซุ้มระฆัง เป็นสัญญาลักษณ์ของวัดระฆัง
  
***สรุปโดยรวม พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัดรูปเหมือนสมเด็จโตซุ้มระฆัง พิมพ์นี้ สร้างเพื่อเป็นสือให้ทราบว่าเป็นพระเครื่องที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โตพฺรหฺมรํสี) (นามเดิม: โต) หรือนามที่นิยมเรียก "สมเด็จโต" "หลวงปู่ โต" หรือ "สมเด็จวัดระฆัง" เป็นผู้อธิษฐานจิต


144105 พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด รูปเหมือนสมเด็จโตซุ้มระฆัง วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง

144106 พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด รูปเหมือนสมเด็จโตซุ้มระฆัง วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง


พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด รูปเหมือนสมเด็จโตซุ้มระฆัง วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง 

รูปที่ 5 พระสมเด็จพิมพ์เศรียรบาตร พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด  วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง รูปนี้ใช้แสงแฟช เพื่อให้เห็นสีของทองคำเปลวโบราณสีเหลืองสุกสวยงาม และลูกปัดโบรานหลากสีสะท้อนแสงสดใส
144107  พระสมเด็จพิมพ์เศรียรบาตร พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด  วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง

144108  พระสมเด็จพิมพ์เศรียรบาตร พิมพ์พิเศษฝังลูกปัด  วังหลวง สร้าง พ.ศ.2397 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง

143. พระสมเด็จ วังหลวง พ.ศ.2412

พระสมเด็จ วังหลวง พ.ศ.2412 อธิษฐานจิตโดย สมเด็จโต พรหมรังสี (วัดระฆัง)

         พระสมเด็จที่เคยพบเห็นส่วนใหญ่ที่มีการสร้างจำนวนมากๆจะเป็น "พระสมเด็จวังหน้า"  แต่พิมพ์นี้เป็น "พระสมเด็จวัุงหลวง" ซึ่งมีจำนวนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบจำนวนการสร้าง และความงดงามของพิมพ์ทรงจะแตกต่างกัน
         พระสมเด็จวังหลวง พิมพ์นี้เรียกว่า พระสมเด็จหลังเบี้ย  ที่พิเศษ คือ องค์พระด้านหน้าติดทองคำเปลวสีเหลืองสุก มีขนาดความหนาๆมากกว่าทองคำเปลวในยุคปัจจุบันนี้มากหลายเท่า
         พลังพุทธคุณ(เดิมๆ) มีความแรง 12.5 เท่า  เหมาะสำหรับอาราธนาพกติดตัว  ดีกว่าพระสมเด็จที่เสี่ยๆกระเป๋าหนักแขวนห้อยของเก๊ ปลอม ที่ถูกเสี้ยนตำราหลอกขายให้ราคาแพงๆห่างกันยังกับฟ้ากับก้นเหว
     

รูปที่ 1 และ รูปที่ 2 ใช้แสงแฟชถ่ายเพื่อให้เห็นสีของทองคำเปลวโบราณที่สวยสดงดงาม...


1431001 พระสมเด็จ วังหลวง พ.ศ.2412 อธิษฐานจิตโดย สมเด็จโต พรหมรังสี (วัดระฆัง)
- ด้านหน้าลงรัก ติดทองคำเปลว
- ด้านหลังลงรัก อายุผ่านมา 142 ปี  รักสีดำที่ลงเอาไว้ร่อนหลุดออกเผยให้เห็นเนื้อพระสมเด็จภายใน
- องค์พระโรยผงตะใบทอง...

1431002 พระสมเด็จ วังหลวง พ.ศ.2412 อธิษฐานจิตโดย สมเด็จโต พรหมรังสี (วัดระฆัง)

1431003 พระสมเด็จ วังหลวง พ.ศ.2412 อธิษฐานจิตโดย สมเด็จโต พรหมรังสี (วัดระฆัง)
 

1431004 พระสมเด็จ วังหลวง พ.ศ.2412 อธิษฐานจิตโดย สมเด็จโต พรหมรังสี (วัดระฆัง)

1431005 พระสมเด็จ วังหลวง พ.ศ.2412 อธิษฐานจิตโดย สมเด็จโต พรหมรังสี (วัดระฆัง)

142. นางกวัก วังหลวง พ.ศ.2412

นางกวัก วังหลวง สร้าง พ.ศ. 2412 อธิษฐานจิต โดย สมเด็จโต วัดระฆัง

 แม่นางกวัก รูปที่ 1 และ รูปที่ 2 ถ่ายด้วยแสงแฟช  เพื่อให้เห็นทองคำเปลวโบรานที่ติดบนองค์พระ...งดงามยิ่งนัก พิมพ์นี้ใส่ลูกปัด(ปัดอุปสักเรื่องร้ายๆทั้งปวง)

องค์ที่ 1 แม่่นางกวัก วังหลวง พ.ศ.2412 อธิษฐานจิต โดย สมเด็จโต วัดระฆัง

องค์ที่ 2 แม่่นางกวัก วังหลวง พ.ศ.2412 อธิษฐานจิต โดย สมเด็จโต วัดระฆัง

องค์ที่ 3 แม่่นางกวัก วังหลวง พ.ศ.2412 อธิษฐานจิต โดย สมเด็จโต วัดระฆัง

องค์ที่ 4 แม่่นางกวัก วังหลวง พ.ศ.2412 อธิษฐานจิต โดย สมเด็จโต วัดระฆัง

องค์ที่ 5 แม่่นางกวัก วังหลวง พ.ศ.2412 อธิษฐานจิต โดย สมเด็จโต วัดระฆัง

องค์ที่ 6 แม่่นางกวัก วังหลวง พ.ศ.2412 อธิษฐานจิต โดย สมเด็จโต วัดระฆัง



- ของดีดั่งเดิม พระนอกกำมือเซียน และนอกกำมือที่คนไม่รู้จัก แม่นางกวักหากคนรู้จักบูชาให้ถูกวิธีหากค้าขายจะส่งเสริมให้มีเงินมีทองเพิ่มมากขึ้นหรือที่คนรู้จักคำว่า "ร่ำรวย" นั้นเอง

- ก่อนที่จะร่ำรวยสิ่งที่บูชา(ตัวแทนแม่นางกวัก) อธิษฐานจิตมาดีหรือไม่  หากมีความแรงของพุทธคุณสูงย่อมประสบความสำเร็จได้รวดเร็ว  หากมีพุทธคุณอ่อนๆได้รับอนิสงค์น้อย(ความแรงยิ่งมาก ย่อมหมายถึง ความสำเร็จที่ได้รับจะเร็วมากกว่าความแรงน้อยๆ)

- แม่นางกวักพิมพ์นี้สร้างใน พ.ศ.2412 บั้นปลายชีวิตของสมเด็จโต(วัดระฆัง)ที่ได้อธิษฐานจิต มีพลังพุทธนุภาพทางด้านโภคทรัพย์และอื่นๆ 22.5 เท่า(เมื่อเทียบกับความแรงของพระสมเด็จสี่เหลี่ยมทั่วๆไปที่สมเด็จโตอธิษฐานจิต) มีความแรงที่ไม่ธรรมดา  ผู้เขียนแนะนำนักลงทุนทุกประเภทควรมีไว้บูชาติดตัว ส่วนตัวผู้เขียนได้พบเพียง 7 องค์(ไม่พอแบ่งปัน)  ท่านใดพบให้เก็บไว้บูชาจะประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน...

บูชาแม่นางกวักให้ถูกวิธีจะร่ำรวย

ประวัติที่ถูกต้องของนางกวัก(ย่อ)
         เป็นบุตรีของปู่เจ้าเขาเขียวหรือท้าวพนัสบดี ซึ่งเป็นเจ้าชั้นจาตุมมหาราชิกา คือ สวรรค์ชั้นที่หนึ่งมีตำแหน่งเป็นพระ พนัสบดี หรือ เจ้าแห่งป่าเขาลำเนาไพรทั้งปวง
         อดีตกาลมีอสูรตนหนึ่งชื่อ ท้าวกกขนาก ซึ่งเป็นเพื่อนกับ ปู้เจ้าเขาเขียว ถูกพระรามเอาต้นกกแผลงไปถูกทรวงอกแล้วตรึงร่างไปติดเขาพระสุเมรุแล้วสาปว่า ตราปใดที่บุตรของท้าวกกขนากทอใยบัวเป็นจีวรเพื่อถวายแด่พระศรีอาริยเมตไตรย ที่จะเสด็จมาตรัสรู้แล้วจึงจะพ้นคำสาป
         นางประจันต์ บุตรสาวของท้าวกกขนากจึงต้องคอยอยู่ปฏิบัติบิดาและพยายามทอจีวรด้วยใยบัว เพื่อให้เสร็จทันถวายพระศรีอาริยเมตไตรยที่จะเสด็จมาตรัสรู้ในอนาคตเมื่อ บุตรสาวของท้าวกกขนากมาคอยดูแลพระบิดาที่เขาพระสุเมรุ  ทำให้ฐานะความเป็น อยู่ของนางลำบากยิ่งนัก  ฝ่ายปู่เจ้าเขาเขียวเมื่อทราบเรื่องจึงได้เกิดความสงสาร  จึงได้ส่งนางกวักบุตรสาวของตนมาอยู่เป็นเพื่อน ด้วยบุญญฤทธิ์ของนางกวัก จึงได้บันดาลให้พ่อค้าวานิชและผู้คนเกิดความสงสารเมตตาพากันเอาทรัพย์สินเงินทองทั้งเครื่องอุปโภค บริโภคมาให้ยังที่พักของนางประจันต์เป็นจำนวนมาก  ทำให้ความเป็นอยู่ของนางประ จันต์มีความสมบูรณ์พูนสุขและเจริญด้วยลาภทั้งปวง....

คาถาบูชาแม่นางกวัก...ว่าดังนี้
- โน้มจิต...อาราธนาบารมีพุทธองค์...
- โน้มจิต...อาราธนาบารมีแม่นางกวัก...ขอแม่นางกวักโปรดได้เมตตาสงเคราะห์.....(เรื่องการค้าขาย)...มีความคร่องตัวทุกประการ ด้วยเถอะ

ของบูชาแม่นางกวัก
- อุทิศส่วนกุศลให้กับแม่นางกวัก ดังนี้
      ...ข้าพเจ้าขออธิษฐาน...ผลบุญใดๆที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติสืบต่อๆจวบจนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลทั้งหมดให้กับแม่นางกวัก ขอแม่นางกวักโปรดรับและโมทนาด้วยเถอะ







วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

141. วิเคราะห์สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ ปูโต - เหล็กไหลสมัย ร.6

สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ ของหลวงปู่โต วัดระฆัง อธิษฐานจิต สร้างขึ้นใน พ.ศ.2407 และ พ.ศ.2408 ปีละ 3 วาระ รวม 6 วาระที่สร้างและอธิษฐานจิต

เหล็กไหลของสมเด็จพุฒจารย์โตอธิษฐานจิต มีอยู่มากมายที่แตกกรุออกมาจากวัดพระแก้วในปี 2524 ไม่มีใครรู้จัก  และไม่เชื่อว่าจะมีมากมายเฉพาะสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำมีเกินกว่านร้อยๆเส้น คนที่ครอบครองได้มาพยายามโหมทำการตลาดก็ไม่มีใครสนใจ เมื่อเก็บไว้นานวัน เก็บไว้เยอะมากไปหมด รวมไปถึงพระเครื่องอื่นๆอีกมากมาย  จวบจนกระทั่งผู้เขียนพบและทราบว่าเป็นเหล็กไหลไพลดำของปู่โตฯ  และญาติธรรมหลายๆท่านที่ได้ตรวจสอบแล้วว่าใช่จริง  ต่างแย่งกันเก็บสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำของแท้  ทำให้เหล็กไหลของปู่โตที่แตกออกมาจากวัดพระแก้วทั้งหมดถูกระบายออกมาจนแทบจะหมดจากตลาด  ของปลอมที่ไม่มีพลังใดๆเลยก็มี  ผู้ที่สามารถสัมผัสหรือตรวจสอบได้ต่างจ่ายเงินเก็บไว้  คิดว่าใช่เพราะมองแล้วเหมือนเหล็กไหลไพลดำของปูโต  ทั้งๆที่จริงได้เพียงแค่เหมือน แต่ไม่เหมือน  เพราะเป็นประคำเหล็กไหล ที่สร้างในยุคของ รัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ.2463 พลังพุทธานุภาพจะด้อยกว่าเหล็กไหลไพลดำของปู่โต   สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่สร้างในปี พ.ศ.2407 และ พ.ศ.2408 มี 3 ขนาด  แต่เหล็กไหลไพลดำที่สร้างสมัย ร.6 มีขนาดเล็กและสั้นกว่าสร้อยประคำไหลเหล็กปูโต



ผู้เขียนจึงได้ลงทุนซื้อของปลอมมาให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษา  เพื่อที่จะได้ไม่ถูกหลอกซื้อเก็บมา  เพราะเป็นแม่เหล็กที่เรียนแบบใช่โลหะธาตุกายสิทธิ์และไม่มีพลังพุทธานุภาพใดๆ

รูปที่ 1 
- สร้อยประคำฯ ซ้ายมือของที่สร้างสมัย ร.6
- สร้อยประคำฯ ขวามือของสมเด็จโต วัดระฆังของแท้ เป็นสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่ผู้เขียนห้อยฯประจำ

รูปที่ 2
- สร้อยประคำฯ ซ้ายมือสมัย ร.6 มีขนาด(เล็กกว่าเล็กน้อย)
- สร้อยประคำฯ ขวามือ(ปูโต วัดระฆัง )มีขนาดลูกประคำใหญ่กว่าเล็กน้อย ดูให้ดีๆ จะเห็นว่าไม่เท่ากัน 
การลงรักติดทอง
- สร้อยประคำฯ ซ้ายมือ(สร้างสมัย ร.6) รักที่ลงเป็นสีดำและติดทองคำเปลวทับอีกชั้นหนึ่ง
- สร้อยประคำฯ ขวามือ (ปูโตฯ สร้างสมัย ร.4) รักโบราณจะมีสีแดงเลือดหมู  เส้นนี้ผู้เขียนใส่มาได้ระยะหนึ่งทำให้รักสีเลือดหมูและทองคำเปลวสึกลดน้อยลงเมื่อเทียบกับเส้นซ้ายมือ

 รูปที่ 3 สร้อยประคำฯ สร้างสมัย ร.6 พ.ศ.2463  หน้าตาสังเกตุที่ภู่ห้อยจะมีปลายเส้นยาวๆ เป็นเส้นใหญ่ๆ ส่วนใหญ่จะมีหาง 2 เส้น  ที่มีหาง 4 เส้นดังรูปมีน้อยมาก

รูปที่ 4 ขยายให้เห็นชัดๆว่า สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำสร้างสมัย ร.6  ไม่ว่าจะเม็ดเล็กหรือเม็ดใหญ่  จะมีลักษณะดังรูป  ความสดใสของ(องค์)เม็ดเหล็กไหลจะหมองกว่า เม็ดประคำเหล็กไหลไพลของหลวงปูโต  ยกเว้นนำมาร้อยปนกันนานๆประคำเหล็กไหลสมัย ร.6 จะมีสีมันวาวเปลี่ยนเหมือนกับประคำเหล็กไหลที่ปู่โตอธิษฐานจิต

รูปที่ 5 ตัดเชือกที่ร้อยสร้อยประคำฯเหล็กไหลไพลดำสมัย ร.6 เพื่อให้เห็นกันชัดๆว่าเป็นอย่างไร?
- รักที่ลงไว้จะเป็นสีดำ  ของปูโตจะเป็นสีแดงเลือดหมู
- ขนาดเม็ดประคำจะใกล้เคียงกันทุกเม็ดแต่มีขนาดเม็ดเล็กกว่าสร้อยประคำของปู่โตที่สร้างสมัย ร.4
- รูของสร้อยประคำฯ สมัย ร.6 รูจะใหญ่ทุกเม็ด
- เชือกที่ร้อยส่วนใหญ่เป็นเชือกสีดำ  มีส่วนน้อยที่เป็นสายเอ็น(ร้อยใหม่)
 
บทความเพิ่มเติมวันที่ 22 ธันวาคม 2554
ผู้เขียนได้แก้ไข บทความในกระทู้นี้ใหม่  เพื่อจะได้ทราบข้อเท็จจริงดังนี้
--- เนื่องจากสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่ผู้เขียนพบมีอยู่ 2 สมัย  ด้วยกัน คือ
         1. สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่สมัย ในสมัย ร.4 เมื่อ พ.ศ.2407 - พ.ศ.2408 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆัง  สร้างโดยฝีมือช่างสิบหมู่
         2. สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่สมัย ในสมัย ร.6  เมื่อ พ.ศ.2463 สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆัง(ไม่ได้อธิษฐานจิต)  สร้างโดยฝีมือช่างสิบหมู่

--- พลังพุทธานุภาพของสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่สร้างสมัย ร.4 กับ สมัย ร.6 มีความแตกต่างกันหลายเรื่อง  ในครั้งแรกที่ผู้เขียนพบ  เหล็กไหลไพลดำที่สร้างสมัย ร.6 มีพลังความแรงมากจริง  แต่ก็ยังด้อยกว่าสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำสมเด็จโต อธิษฐาน  ดังนั้นจึงแนะนำให้เก็บแต่สร้อยประคำเหล็กไหลของปูโต  และไม่ได้แนะนำให้เก็บเหล็กไหลไพลดำที่สร้างสมัย ร.6

--- มีผู้ทรงฌานอยู่หลายกลุ่มรวมไปถึงไม่ทรงฌาน(พวกจับพลังวัตถุมงคลได้)  ต่างเก็บสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่สร้างสมัย ร.6 จากตลาด(เข้าใจผิดคิดว่าเป็นสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำของสมเด็จโตฯ)  และมีบางท่านได้สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโตฯ วัดระฆังที่มีในตลาดกระจัดกระจายไม่มากนัก

--- ในครั้งแรก ผู้เขียนได้กล่าวถึงสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่สร้างในสมัย ร.6 เป็นของปลอม  ได้ถูกพระเบื้องบน...ตำหนิ...ว่าทำไม่ถึงกล่าวอย่างนั้น  ที่กล่าวเช่นนั้น  เพราะว่า
     "สร้อยประคำเหล็กไหลสมัยสมัย ร.6 หากมีคนกล่าวเป็นสร้อยประคำเหล็กไหลที่สร้างสมัย ร.4 ที่อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต ย่อมเ็ป็นของปลอม"
     "หากกล่าวว่าเป็นสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ  ที่สร้างสมัย ร.6  สมเด็จโตฯ ไม่ได้อธิษฐานจิต เป็นของแท้"

--- สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ  ที่สร้างในสมัย ร.4 กับสมัย ร.6 ใครมีจำนวนมากกว่ากัน  จากการพบเห็นของผู้เขียน  ขอสรุปว่า "น่าจะ"
     ***สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่สร้างสมัย ร.4
           ถ้าสร้อยประคำเหล็กไหลฯสมัย ร.4 มี 90 เส้น 
           สร้อยประคำเหล็กไหลฯสมัย ร.6 มี 30 เส้น 
           และสร้อยประคำเหล็กไหลฯสมัย ร.5 ที่พบมีเพียง 1 เส้น และมีขนาดใหญ่พิเศษ